ศาลอาญา ลงโทษจำคุก "ชาญชัย" หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา แต่เห็นมีเจตนาทำเพื่อรักษาประโยชน์ชาติ –ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน ให้โอกาสรอลงอาญาไว้ 2 ปี เจ้าตัวยังฮึดสู้คดีคิงเพาเวอร์ เตรียมยื่นอุทธรณ์ ศาลเคยยกฟ้อง 2 คดี ยืนยันออกมาพูดตรวจสอบเพื่อรักษาประโยชน์ประเทศ
ที่ห้องพิจารณา 812 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 09.00 น. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1673/2559 ที่ บริษัท คิงเพาเวอร์ จำกัด และกลุ่มบริษัทในเครือ รวม 4 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง "นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์" อดีตรองประธานอนุกรรมาธิการวิสามัญศึกษา เสนอแนะมาตราและกลไกการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328
ตามฟ้องโจทก์ ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.59 จำเลยดูหมิ่นโจทก์ทั้งสองโดยการโฆษณาด้วยการแถลงข่าว หรือป่าวประกาศเผยแพร่ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ รวมทั้งข้าราชการประจำรัฐสภา ที่รับฟังการแถลงข่าวของจำเลย และประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นบุคคลที่สาม ที่บริเวณภายในรัฐสภา ซึ่งยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโจทก์ทั้งสอง อันเป็นความเท็จว่า "เซ็นสัญญา กับบริษัท คิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ การตรวจสอบของ ผมกับคณะอนุฯ ได้ไปพบเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง กับบริษัท คิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ไม่ได้เป็นผู้ซื้อซองประกวดราคา ไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาเชิงเทคนิค หรือขั้นตอนการประกวดราคาใดๆ ทั้งสิ้นเลย คณะกรรมการมีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 48 และเข้าบอร์ด อนุมัติเพื่อเซ็นสัญญา กับคิง เพาเวอร์ อินเตอร์ เนชั่นแนลเท่านั้น แต่เวลาลงนามในสัญญาบริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ กลับมาลงนามในสัญญาแทน และเพิ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 23มี.ค.ก่อนลงนามสัญญาแค่ 2 วัน เพราะฉะนั้นสัญญานี้ตั้งแต่เริ่มมีการเซ็นสัญญาเกิดขึ้น ตั้งแต่ 2548 เป็นต้นมา ถือเป็นสัญญาที่ นับเป็นสัญญาที่โมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรก และผิดกฎหมายหลายฉบับ ฉะนั้น เรียนให้สื่อมวลชนให้ทราบว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของการเรียกทรัพย์สินบางส่วนที่เสียหายไปคืนหลายหมื่นล้าน ถ้าเรียกได้โดยรัฐบาลยุคนี้ทำได้ ไม่จำเป็นต้องไปขึ้นค่าภาษีโรงเรียนหลายพันล้านฯ" ซึ่งความจริงแล้ว จำเลยได้รู้หรือควรรู้แล้วว่าในการเข้าประมูลสัมปทานพื้นที่กิจกรรมเชิงพาณิชย์ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นการประมูลโดยเปิดเผยตรวจสอบได้ มีผู้เข้าร่วมประมูล 5 กลุ่ม โดยจำเลยแถลงข่าวในฐานะรองประธานอนุ กมธ.วิสามัญศึกษาฯ สปท. มีหน้าที่ในการศึกษาและเสนอแนะมาตรการและกลไกในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ไม่ใช่หน้าที่แถลงข่าวหรือป่าวประกาศโฆษณาเผยแพร่หลายออกสู่ประชาชนทั่วไป เหตุเกิดที่แขวงอู่ทองใน เขตดุสิต กทม.
โดย "นายชาญชัย" จำเลย ให้การปฏิเสธ พร้อมต่อสู้คดี ซึ่งระหว่างพิจารณาก็ได้รับการประกันตัว และวันนี้ "นายชาญชัย" เดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษา ขณะที่ฝ่ายโจทก์มีเพียงผู้รับมอบอำนาจจากทนายความเดินทางมาฟังคำพิพากษา
ทั้งนี้ "ศาล" พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าการที่จำเลยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองประธานอนุ กมธ.วิสามัญศึกษาฯ นั้น จำเลยมีสิทธิ์จัดแถลงข่าวหรือไม่ เห็นว่า แนวทางการให้ กมธ.ปฏิบัติตามข้อบังคับ สปท. ข้อ 81 วรรคท้าย ห้ามให้มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน หากมีเหตุจำเป็นให้ประธานฯ หรือโฆษกฯ เป็นผู้จัดการแถลงข่าว การที่จำเลยอ้างว่ามีเหตุจำเป็น และมีการเสนอเรื่องให้ประธานฯ ทราบแล้วนั้น เป็นเพียงการบอกว่าจะไปแถลงข่าว ไม่ใช่การอนุญาตให้มีการแถลงข่าว และแม้จำเลยอ้างว่าได้รับการแต่งตั้งให้ไปตรวจสอบการทุจริต ดังนั้นการที่จำเลยแถลงข่าวก็เป็นในทำนองวินิจฉัยความผิดเสียเอง ส่วนที่จำเลยอ้างว่าการกระทำของโจทก์ทำให้รัฐได้รับความเสียหายกว่า 2 หมื่น ล้าน ก็เป็นการคาดคะเนของจำเลยเท่านั้น โดยการแถลงข่าวของจำเลยกรณี ดังกล่าวใน 8 ครั้ง โดยมีข้อความลักษณะยืนยันให้ร้ายบริษัทโจทก์ทั้งสี่ จึงเป็นการทำให้โจทก์ทั้งสี่ ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นแล้ว และเมื่อยังปรากฏว่าข้อความที่แถลงนั้นถูกเผยแพร่ไปยังสื่อมวลชน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามมาตรา 328 ด้วย
จึงพิพากษาลงโทษจำเลย ตามมาตรา 328 ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ให้จำคุก 8 กระทงๆ ละ 1 ปี เป็นจำคุกทั้งสิ้น 8 ปี และให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษา ลงหนังสือพิมพ์มติชน , ข่าวสด , เดอะเนชั่น , สยามรัฐ และคมชัดลึกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยมีเจตนาเป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ และจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้โอกาสกลับตัว โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว "นายชาญชัย" จำเลย กล่าวว่า คดีนี้ศาลพิพากษาจำคุกแต่ให้รอลงอาญาไว้ ซึ่งตนเคารพศาล แต่ก็ยังมีความเห็นต่างเนื่องจากก่อหน้านี้ศาลอาญากรุงเทพใต้กับศาลแพ่งที่ตนถูกบริษัทคิงเพาเวอร์ฟ้องไว้ เคยวินิจฉัยให้ยกฟ้องในคดีมูลเหตุลักษณะเดียวกัน ดังนั้นตนจะใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์คดีนี้ต่อไปโดยยืนยันว่าการที่ออกมาพูดเป็นการตรวจสอบเพื่อรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ
ด้าน "นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์" ทนายความของกลุ่มบริษัทคิงเพาวเวอร์ โจทก์ กล่าวว่า ขอขอบคุณศาลอาญา ที่ได้พิจารณาข้อเท็จจริงโดยละเอียดและให้ความเป็นธรรมกับกลุ่มบริษัท คิงเพาวเวอร์ รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหาร ทอท. ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนที่ฟังการแถลงข่าวของจำเลยตลอดมาเข้าใจผิดคิดว่ากลุ่มบริษัท คิงพาวเวอร์ และผู้บริหาร ทอท.ร่วมกันทุจริตหลีกเลี่ยงการส่งประโยชน์เข้ารัฐหลายหมื่นล้านซึ่งถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากเป็นที่สนใจของภาครัฐและภาคเอกชน ดังนั้นความจริงจึงปรากฏตามคำพิพากษาของศาลอาญา
ที่มาข่าว:http://www.komchadluek.net/news/breaking-news/377273