กองทัพเรือภาค 3 จับกุมเรือประมงสัญชาติอินโดนีเซีย รุกล้ำเข้ามาทำการประมงในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทย ด้านฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัดภูเก็ต
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 เวลา 08.30 น. ศูนย์ปฏิบัติการทัพเรือภาคที่ 3 ได้รับแจ้งข้อมูลจาก แหล่งข่าวในพื้นที่ว่า ตรวจพบกลุ่มเรือประมงสัญชาติอินโดนีเซีย จานวน 3 ลำ มีพฤติกรรมเข้ามาทำการประมงบริเวณเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทย บริเวณทางทิศตะวันตกจากแหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต ระยะประมาณ 46 ไมล์ทะเล พลเรือโทสุชาติ ธรรมพิทักษ์เวช ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 และ ผู้อานวยการศูนย์อานวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 จึงได้สั่งการให้ ศูนย์ปฏิบัติการทัพเรือภาคที่ 3 จัดเครื่องบินลาดตระเวนแบบที่ 1 (DO-228) สนับสนุน ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 ขึ้นบินลาดตระเวนตรวจสอบกลุ่มเรือประมงสัญชาติอินโดนีเซียดังกล่าว ให้ศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือ จังหวัดภูเก็ต แจ้งศูนย์ PIPO ภูเก็ต เพื่อแจ้งเรือประมงไทย ที่ทำการประมงในพื้นที่ เฝ้าสังเกตการณ์และติดตามพฤติกรรมของกลุ่มเรือประมงสัญชาติอินโดนีเซีย รวมทั้งให้ หมวดเรือเฉพาะกิจ ศูนย์อานวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 จัดเตรียมเรือหลวงแกลง ซึ่งเป็นเรือในบัญชีกำลัง ให้พร้อมออกเรือปฏิบัติภารกิจ เมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม
ต่อมาเวลา 10.50 น. เครื่องบินลาดตระเวนแบบที่ 1 ได้รายงานการตรวจพบเรือประมงสัญชาติอินโดนีเซีย จำนวน 1 ลำ บริเวณทางทิศตะวันตกจากแหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต ระยะประมาณ 55 ไมล์ทะเล เวลา 14.30 น. เรือหลวงแกลง ออกเรือตรวจสอบ เรือประมงสัญชาติอินโดนีเซีย บริเวณทางทิศตะวันตกจากแหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต ระยะประมาณ 55 ไมล์ทะเล ตามข้อมูลที่ได้รับรายงานจาก เครื่องบินลาดตระเวนแบบที่ 1 และเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2566 ระหว่าง เวลา 06.00 – 08.30 น. เรือหลวงแกลง เข้าตรวจค้นและจับกุมเรือประมงสัญชาติอินโดนีเซีย จานวน 3 ลำ ทางทิศตะวันตก จากแหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต ระยะประมาณ 70 -80 ไมล์ทะเล ประกอบด้วย ลำที่ 1 ชื่อ KM.RAHMATJAYA พร้อมลูกเรือ รวมจำนวน 12 คน ลำที่ 2 ชื่อ KM.IKHLASBARU พร้อมลูกเรือ รวมจำนวน 16 คน และ ลำที่ 3 ชื่อ KAMBIASTAR พร้อมลูกเรือ รวมจำนวน 12 คน จึงได้ควบคุมเรือประมงสัญชาติอินโดนีเซีย จานวน 3 ลำ พร้อมลูกเรือ รวมจานวน 40 คน กลับเข้าฝั่ง ณ ท่าเรือรัษฎา จังหวัดภูเก็ต เพื่อนำส่งให้พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรฉลอง ดาเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
การจับกุมเรือประมงต่างชาติ ที่มีพฤติกรรมเข้ามาทำการประมงบริเวณเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทยด้านฝั่งทะเลอันดามัน ที่ผ่านมานั้น ได้มีการจับกุมมาแล้วหลายครั้ง รวมทั้งได้แจ้งให้ สำนักงานผู้ช่วยทูตทหารเรือประจาประเทศอินโดนีเซีย เพื่อแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการประชาสัมพันธ์ และแจ้งเตือนเรือประมงของประเทศอินโดนีเซียว่า อย่าได้รุกล้ำเข้ามาทำการประมงในเขตน่านน้ำของประเทศไทย ทั้งนี้ หากตรวจพบ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของไทย อย่างเคร่งครัด โดยในปีงบประมาณ 2564 ได้ทำการจับกุม จานวน 1 ครั้ง ในปีงบประมาณ 2565 ได้ทำการจับกุม จำนวน 3 ครั้ง และ ในปีงบประมาณ 2566 ได้ทำการจับกุม จานวน 2 ครั้ง ซึ่งการลักลอบเข้ามาทำการประมงของเรือประมงต่างชาติ นั้นเป็นการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ (สัตว์น้ำ) ในพื้นที่ของประเทศไทย ส่งผลให้ชาวประมงไทย ทำการจับสัตว์น้ำได้น้อยลง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคประมงโดยตรง
นอกจากนี้แล้วเรือประมงต่างชาติที่ลักลอบเข้ามาทำการประมง บางครั้งมีการลักลอบขโมยหรือตัดทำลายอุปกรณ์ดักจับสัตว์น้ำของชาวประมงไทยที่ได้วางไว้ ซึ่งสร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์ดักจับสัตว์น้ำ เป็นมูลค่ามากกว่า 40,000 บาท/อุปกรณ์ การดำเนินการจับกุมเรือประมงต่างชาติข้างต้นนั้น เป็นไปตามนโยบายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ของ พลเรือเอกอะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล นั้น ได้มีนโยบายให้ทุกหน่วยงาน ได้มีการบูรณาการร่วมกัน ในการป้องกันและปรามปรามการกระทาผิดกฎหมายทางทะเล เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ เพื่อให้ท้องทะเลไทยเกิดความมั่นคง ยั่งยืนและสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมั่นคงตลอดไป
ทั้งนี้ทัพเรือภาคที่ 3 และ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาคที่ 3 จะดาเนินการบูรณาการร่วมกับจังหวัดต่าง ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางทะเล รวมทั้งภาคประชาชนและภาคเอกชน ในการร่วมกันแก้ปัญหาความเดือดของพี่น้องประชาชน ที่ประสบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจการทะเลต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นรูปธรรม มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ หากมีเหตุการณ์ที่สำคัญหรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการ ทัพเรือภาคที่ 3 หมายเลข 076 391 598 หรือสายด่วน กองทัพเรือหมายเลข 1696 หรือที่ ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาคที่ 3 หมายเลข 09 2979 8405 หรือสายด่วน 1465 ตลอด 24 ชั่วโมง