กสม.ชี้โรงเรียนเอกชนยกเลิกปพ. 1 ทำให้เด็กเสียโอกาสทางการศึกษา เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2565 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า กสม. ได้ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับสิทธิทางการศึกษาอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิเด็ก กรณีหน่วยงานของรัฐยกเลิกระเบียนแสดงผลการเรียนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ปพ.1) ของนักเรียนรายหนึ่ง ทำให้เสียโอกาสทางการศึกษา
กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่งระบุว่า ผู้ร้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดภูเก็ตให้จัดการศึกษาโดยครอบครัว (Home School) ให้แก่บุตรสาวจนถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แต่ได้จัดการศึกษารูปแบบดังกล่าวให้แก่บุตรสาวจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาในปีการศึกษา 2563 ผู้ร้องได้ให้บุตรสาวสมัครเข้ารับการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในหลักสูตร International Education Program กับโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง เนื่องจากเข้าใจว่าหลักสูตรดังกล่าวเป็นหลักสูตร International Program แต่เมื่อบุตรสาวได้รับใบแสดงผลการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปรากฏว่า เอกสารดังกล่าวระบุว่าเป็นหลักสูตร English Program โดยได้ทราบในภายหลังว่าโรงเรียนเอกชนแห่งดังกล่าวได้รับอนุญาตให้จัดการศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษ (English Program: EP) เท่านั้น มิใช่หลักสูตร International Program เช่นเดียวกับโรงเรียนนานาชาติ
ผู้ร้องจึงประสานข้อมูลไปยังสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานี เขต 2 ซึ่งได้แนะนำให้โรงเรียนเทียบโอนผลการเรียนของบุตรสาวจากการศึกษานอกระบบมาสู่การศึกษาในระบบ ต่อมาโรงเรียนได้ออกระเบียนแสดงผลการเรียน 5 ภาคการศึกษาให้แก่บุตรสาวของผู้ร้อง ซึ่งปรากฏรายวิชาเช่นเดียวกับนักเรียนรายอื่นที่เข้ารับการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1–2 ตามหลักสูตรปกติ ทำให้ผู้ร้องสงสัยในความถูกต้องของเอกสารดังกล่าว
ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 2564 บุตรสาวของผู้ร้องสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้ร้องจึงยื่นขอระเบียนแสดงผลการเรียนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ปพ.1) จากโรงเรียน แต่โรงเรียนแจ้งว่า ไม่สามารถให้ดูเอกสารดังกล่าวได้ และปรากฏข้อเท็จจริงว่าโรงเรียนมีหนังสือถึงสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานี เขต 2 ขอให้ยกเลิกระเบียนแสดงผลการเรียน ปพ.1 แก่บุตรสาวของผู้ร้อง ด้วยเหตุผลเอกสารหลักฐานการศึกษาที่ผู้ร้องนำมาใช้สมัครเข้ารับการศึกษาและเทียบโอนผลการเรียนให้แก่บุตรสาวมาจากสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป็นเหตุให้ผลการเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 2 ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานี เขต 2 จึงได้ยกเลิกระเบียนแสดงผลการเรียน ปพ.1 ทำให้บุตรสาวของผู้ร้องไม่สามารถเข้ารับการศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ได้ ผู้ร้องเห็นว่าการกระทำของโรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งผลกระทบต่อสิทธิทางการศึกษาของบุตรสาว จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากผู้ร้อง หน่วยงานผู้ถูกร้อง หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า การที่บุตรสาวของผู้ร้องได้เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนเอกชนดังกล่าว เนื่องจากเชื่อว่าหลักสูตร International Education Program ของโรงเรียนเป็นหลักสูตร International Program โดยมีผู้ปกครองที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเช่นเดียวกับผู้ร้องอีกจำนวนไม่น้อย ขณะที่เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนก็มิได้ชี้แจงให้กลุ่มผู้ปกครองเข้าใจถึงความแตกต่างของแต่ละหลักสูตรให้ชัดเจน
ดังนั้น การประชาสัมพันธ์หลักสูตร International Education Program ของโรงเรียน อาจสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้ปกครองและประชาชนทั่วไปได้ อย่างไรก็ดีประเด็นดังกล่าวมีการฟ้องร้องคดีกันในศาลแล้ว ซึ่งทำให้ไม่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของ กสม. จึงเห็นควรยุติเรื่องและมีข้อเสนอแนะต่อไป
สำหรับประเด็นที่โรงเรียนได้ประเมินและเทียบโอนผลการเรียนของบุตรสาวผู้ร้อง จากการจัดการศึกษาโดยครอบครัวมาเป็นผลการเรียนตามหลักสูตรระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1–2 เพื่อรับบุตรสาวของผู้ร้องเข้าศึกษาต่อระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมิได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานการศึกษาให้ถี่ถ้วน อันนำไปสู่การที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ยกเลิกระเบียนแสดงผลการเรียน ปพ.1 ของบุตรสาวผู้ร้อง ซึ่งเป็นเอกสารหลักฐานสำคัญที่ต้องใช้สำหรับการสมัครเข้ารับการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นนั้น เห็นว่า การที่โรงเรียนละเลยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและความถูกต้องของเอกสารหลักฐานการศึกษาที่ผู้ร้องนำมาใช้สมัครเข้ารับการศึกษาและเทียบโอนผลการเรียนให้แก่บุตรสาวของผู้ร้องจนล่วงเลยระยะเวลากว่า 1 ปี เป็นเหตุให้บุตรสาวของผู้ร้องต้องเสียเวลา 1 ปีการศึกษาโดยไม่ได้รับวุฒิการศึกษาและขาดโอกาสในการศึกษาต่อถือเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อบุตรสาวของผู้ร้องอันส่งผลกระทบต่อประโยชน์สูงสุดของเด็กโดยเฉพาะสิทธิทางการศึกษา
อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ร้องจัดการศึกษาโดยครอบครัวตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้แก่บุตรสาวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาก็ส่งผลกระทบต่อสิทธิทางการศึกษาของบุตรสาวเช่นเดียวกัน เนื่องจากทำให้บุตรสาวไม่ได้รับการติดตามและประเมินผลการศึกษาจากหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจ ซึ่งอาจทำให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษาของประเทศด้วย
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2565 จึงมีข้อเสนอแนะในการป้องกันหรือการแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน สรุปได้ดังนี้
1. ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี การตรวจสอบเอกสารหลักฐานการศึกษาของโรงเรียนที่นำไปสู่การยกเลิกระเบียนแสดงผลการเรียน ปพ.1 ของบุตรสาวผู้ร้อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิทธิทางการศึกษาอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิเด็ก ทั้งนี้ ให้ดำเนินการภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้
2. ให้โรงเรียนเอกชนผู้ถูกร้องกำชับให้เจ้าหน้าที่ชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาให้แก่ผู้ปกครอง พร้อมทั้งจัดทำคู่มืออธิบายนิยาม ลักษณะ และความแตกต่างของแต่ละหลักสูตรการศึกษาอย่างละเอียดและครบถ้วน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจนต่อหลักสูตรการศึกษา
3. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนกำกับดูแลการประชาสัมพันธ์หลักสูตรการศึกษาและคุณภาพของสถานศึกษาเอกชนที่มีลักษณะเช่นเดียวกับกรณีปัญหาตามคำร้องนี้อย่างเคร่งครัด
4. ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณียกเลิกระเบียนแสดงผลการเรียน ปพ.1 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิทธิทางการศึกษาอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิเด็ก โดยควรคำนึงถึงการรับฟังข้อเท็จจริงจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน ก่อนมีคำสั่งยกเลิกเอกสารดังกล่าว นอกจากนี้ให้เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังไม่ให้เด็กที่เข้ารับการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัยหลุดจากระบบการศึกษาของประเทศ โดยควรจัดทำระบบเพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้เรียนในแต่ละระบบการศึกษา ทั้งนี้ เพื่อประกันและรับรองสิทธิทางการศึกษาอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิเด็ก ซึ่งเด็กจะต้องได้รับการศึกษาภาคบังคับตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และหลักสิทธิมนุษยชนสากลที่เกี่ยวข้องรับรองไว้