สภาผู้แทนราษฎร ลงมติ 269 ต่อ 201 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง รับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท พรัอมตั้ง กมธ. 72 คน พรรคพลังประชารัฐ เสนอชื่อ 'ปารีณา ไกรคุปต์ - เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ' ร่วมด้วย
----------------------------------------------------
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2564 วันที่สาม ที่ สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ โดยเป็นการพิจารณา วาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ ระหว่างวันที่ 31 พ.ค. – 2 มิ.ย.
กระทั่งเวลา 23.45 น. สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาลงมติ โดยมีจำนวนผู้เข้าประชุม 472 คน เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ด้วยเสียง 269 ต่อ 201 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง โดยมีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญ 72 คน เพื่อพิจารณาในวาระ 2 ต่อไป
สำหรับ กมธ. 72 คน เป็นสัดส่วนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) 18 คน พรรคการเมือง 54 คน ดังนี้ เพื่อไทย 15 คน พลังประชารัฐ 13 คน ภูมิใจไทย 7 คน ก้าวไกล 6 คน ประชาธิปัตย์ 6 คน ส่วน ชาติไทยพัฒนา เสรีรวมไทย ประชาชาติ เศรษฐกิจใหม่ รวมพลังประชาชาติไทย ประชาชาติ เพื่อชาติ และพลังท้องถิ่นไท พรรคละ 1 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อ กมธ. 72 คน เป็นที่น่าสังเกตว่า สำหรับสัดส่วนพรรคพลังประชารัฐ 13 คน ได้มีการเสนอชื่อ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.และอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี ร่วมด้วย
ทั้งนี้ น.ส.ปารีณา ถูกศาลฎีกาสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ หลังจากรับคำร้องสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนใน จ.ราชบุรี
@ 'สุทิน' แฉ 'มหาสารคาม' ได้วัคซีน 3,000 โดสจากแผนเดิม 1.3 แสนโดส
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 22.05 น. นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวปิดอภิปรายตอนหนึ่งถึงการบริหารจัดการเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด ว่า วันนี้วัคซีนที่ดีคือ วัคซีนที่มาทันเวลา มีคุณภาพ กระจายด้วยความเป็นธรรม วันที่ 7 มิ.ย.ที่บอกว่าจะปูพรมฉีดเข็มแรก โดยเฉพาะวันนี้ที่เพิ่งยืนยันว่าแอสตร้าเซนเนก้ามาแน่ ได้ฉีดแน่ แต่วันนี้เพิ่งได้รับข้อมูลจาก จ.มหาสารคาม อย่าไปโทษผู้ว่าราชการจังหวัดหรือสาธารณสุขจังหวัด เพราะข้อมูลนี้ได้มาจากที่อื่น เพราะได้มาจากตัวแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ประชุมกับจังหวัดวันนี้ วางแผนฉีดวัคซีน จ.มหาสารคาม เดิมได้รับการจัดสรร 130,000 โดส ทุกคนก็รณรงค์กัน แต่ได้รับแจ้งว่า สรุปแล้วจะได้รับการจัดสรร 3,000 โดส เชื่อว่าจังหวัดอื่นก็จะเป็นเหมือนกัน ดังนั้นวัคซีนคิดว่าหมดความหวัง หรือมีความหวังแต่ก็ช้า
นายสุทิน กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีกำลังทำผิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีน ดังนี้ 1.ประมาท ประเมินผิด เพราะไปประเมินว่าไม่รีบฉีดวัคซีน และประเมินว่าโควิดจะไม่มาอีก ต่อไปอย่าประเมินแบบลวกๆ 2.ตั้ง ศบค.ที่มีโครงสร้างผิด เอาคนที่ไม่มีความรู้มาชี้ ให้หมอเดินตามทหาร อำนาจไม่เป็นเอกภาพ จึงเกิดความผิดพลาด 3.วิธีคิดเรื่องวัคซีนผิด ไม่เข้าร่วมโคแวกซ์ ทุกประเทศที่เข้าร่วม เขาได้รับวัคซีนแล้ว ซ้ำยังเชียร์ซิโนแวคมากกว่ายี่ห้ออื่น และขอตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่าสิ่งที่คนไทยอยากได้เหมือนคนอื่นคือ ไฟเซอร์ โมเดอร์นา จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ก็ไปพบความจริงว่า 3 ยี่ห้ออยู่ในประเทศที่มีกฎหมาย ห้ามมีการติดสินบนเคร่งครัดมาก จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมามีนักธุรกิจประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาตกม้าตายหลายรายการในประเทศไทย เพราะมาติดสินบนนักธุรกิจไทย
“พูดถึงเรื่องวัคซีน ถ้าวิธีคิดเป็นแบบนี้ ระบบเป็นแบบนี้ ผมไม่เชื่อว่าจะฉีดได้ทันเวลา เมื่อไม่ทันเวลา เครื่องยนต์เศรษฐกิจก็ดับต่อไป ถึงปีหน้างบปี 66 จะเอาเงินที่ไหนมากู้ เขาถึงวิตกว่าการจัดงบปีนี้ ไม่สามารถกระตุ้นเครื่องยนต์เศรษฐกิจ 4 ตัว และแก้โควิดไม่ได้ ทั้งหมดก็คือจอด กลายเป็นปัญหา พวกผมถึงเห็นว่า จัดงบประมาณแบบนี้รับไม่ได้ จึงลงมติว่าไม่ให้ผ่าน กลับไปทำใหม่ ยังมีเวลา ใจดำหรือไม่ ชาวบ้านกินอะไร กฎหมายมันมี ไม่ต้องเอาชาวบ้านมาอ้าง 2 ปีก่อนพวกผมใจอ่อน เพราะเวลาจำกัด ปีนี้ไม่ตามใจแล้ว ให้กลับไปแก้มา แก้ให้ตอบโจทย์ อย่าผิดทิศผิดทาง” นายสุทิน กล่าว
(พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.ก้าวไกล และ ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.เพื่อไทย)
@ 'ยุทธพงศ์'จี้กองทัพแจงงบลับ 470 ล้านบาท
เมื่อเวลา 16.30 น. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้มีเรื่องที่จะต้องสอบถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่บอกว่าได้ชำระหนี้โครงการรับจำนำข้าวไปแล้ว 7.05 แสนล้านบาท เพราะจากการตรวจสอบการใช้งบประมาณของพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่ปี 2558 - 2565 พบว่าใช้งบชดใช้หนี้ไปเพียง 6.52 แสนล้านบาท ดังนั้นสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ พูดถือว่าใส่ร้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีต นายกรัฐมนตรี พูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง
นายยุทธพงศ์ กล่าวด้วยว่า เมื่อตรวจสอบงบประมาณ 2565 ในส่วนของกระทรวงกลาโหม พบว่า ตั้งไว้ที่ 2.03 แสนล้านบาท พบว่า 4 หน่วยงาของกองทัพ มีงบราชลับ รวม 470 ล้านบาท แบ่งเป็น กองทัพเรือ 62 ล้านบาท , กองทัพอากาศ 30 ล้านบาท , สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม 32 ล้านบาท , กองบัญชาการกองทัพไทย 55 ล้านบาท ซึ่ง นายกรัฐมนตรีต้องชี้แจงรายละเอียด ตามที่เคยบอกไว้ว่าจะบริหารราชการแบบโปร่งใส นอกจากนั้นยังเสนอให้มีการชะลอ หรือ เลื่อนการการจัดซื้ออาวุธต่างๆ เนื่องจากเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็น
"งบประมาณปี 2565 วัคซีนไม่แน่นอน แต่รถถัง เครื่อบินรบ เรือดำน้ำมีแน่นอน ขอเรียกร้อง ส.ส. ที่ฟังการอภิปรายเห็นว่างบประมาณที่จัดไม่ตรงตามความต้องการของประชาชนไม่เกิดประโยชน์ประเทศขอให้คว่ำเพื่อให้กลับไปทำใหม่” นายยุทธพงศ์ กล่าว
@ 'พิธา'ชวนพรรคร่วมคว่ำงบปี 65
ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า หลังจากฟังอภิปราย 3 วัน ขอเริ่มด้วยคำถามถึงทุกคนว่า เชื่อจริงหรือไม่ว่า งบประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท จะพาประชาชนออกจากวิกฤตได้จริง เราอาจต้องนับหนึ่งใหม่กับระบบสาธารณสุขไทย ไม่ใช่เพียงการรับมือการระบาดของโควิด แต่อาจต้องรับมือกับเชื้อโรคอีกมากมายหลายชนิดในอนาคตที่จะมาท้าทายความมั่นคงทางสาธารณสุขอย่างไม่หยุดหย่อน และอาจต้องนับหนึ่งใหม่กับระบบทุนนิยมไทย ไม่ช่แค่การแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก แต่ต้องแก้ที่เค้าโครงเศรษฐกิจที่กระจุกตัวมากเกินไป เมื่อเศรษฐกิจกระจุกอยู่ใน กทม. 45% เมื่อ กทม.เป็นอัมพาด เศรษฐกิจทั้งประเทศก็เป็นอัมพาต รวมถึงที่จะต้องนับหนึ่งใหม่กับเรื่องสวัสดิการของประเทศอีกด้วย
"พรรคก้าวไกลเห็นว่าการจัดทำงบประมาณจะต้องเอาประชาชนมาเป็นที่หนึ่ง เหนือสิ่งอื่นใดหลักคิดก็คือ ต้องเติ่มจากคนที่เปราะบางที่สุดของสังคม คิดจากมุมมองของเด็กที่หิวโหย คนแก่ที่เจ็บป่วย คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องทำงาน 2-3 แห่งจนสายตัวแทบขาดเพื่อส่งลูกเรียนหนังสือ ต้องคิดว่ารัฐจะอุ้มคนเหล่านี้อย่างไร และฐานคิดนี้จะเป็นอิฐก้อนแรกในการฟื้นฟูประเทศนับจากนี้" นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวอีกว่า ปี 2565 เป็นปีแห่งการฟื้นฟู สิ่งที่รัฐบาลต้องคิดคือวัคซีนเข็มที่ 3 รัฐบาลประมาทเลินเล่อมาหลายครั้ง การเข้าถึงระบบสาธารณสุขของไทยยังห่างไกลความเป็นจริง คำถามสำคัญคือประเทศไทยจะฟื้นฟูได้อย่างไร หากงบสาธารณสุขถูกปรับลด งบบัตรทองถูกปรับลด ทั้งที่คาดว่าจะมีผู้ตกงานมากขึ้นและจะมีผู้หลุดออกจากระบบประกันสังคมเข้ามาใช้บัตรทองมากยิ่งขึ้น ตรงกันข้าม ในสถานการณ์แบบนี้ ควรจะขยับเพดานให้สวัสดิการของประชาชนธรรมดากับสวัสดิการข้าราชการให้ไม่แตกต่างกันมากอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
นายพิธา กล่าวต่อด้วยว่า ในด้านเศรษฐกิจจำเป็นต้องจัดทำงบประมาณภาคการเกษตรใหม่ต้องเริ่มกลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง ก็คือการแก้ปัญหาที่ดิน ที่มีปัญหาเป็นคดีความหลายหมื่นคดี งบประมาณที่ดินจะต้องสะท้อนการแก้ปัญหาเหล่านี้
"ประเทศไทยจะเปลี่ยนไปได้ ทหารต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ไม่ใช่รัฐบาลพลเรือนอยู่ใต้ทหาร งบความมั่นคงที่กระจายอยู่ตามองคาพยพต่างๆ ที่ทำกันมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็นต้องถูกยกเลิก กองทัพจะต้องเลิกจัดงบประมาณมาทำสงครามกับประชาชนเพื่อปราบปรามคนที่เห็นต่างทางการเมือง กองทัพจะต้องเลิกจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่ไม่จำเป็นในวันที่โรงพยาบาลขอรับบริจาคเครื่องช่วยหายใจ งบประมาณความมั่นคงทางทหารจะต้องไม่เบียดเบียนสวัสดิการพลเรือน รบกวนภาษีประชาชน โดยเฉพาะในยุคที่ประชาชนต้องการวัคซีนไม่ใช่กระสุนอีกต่อไป" นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวทิ้งท้ายด้วย่วา หากตนเป็นนายกรัฐมนตรี จะพยายามอย่างมากที่สุดในการปลอดล่อยงบอาวุธที่มีภาระผูกพันกว่า 2 หมื่นล้าบาท ในช่วงเวลาที่ต้องใช้งบเพื่อสุขภาพมากกว่าความมั่นคง เช่น ควรเจรจากับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรประเทศแรกๆในทวีปเอเชีย เพื่อขอยกเว้นภาระผูกภันการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทั้งหมด ซึ่งเป็ฯสิ่งที่รัฐมนตรีท่านหนึ่งเคยทำมาแล้วในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ทั้งนี้ขอฝากไปยังพรรคร่วมรัฐบาลว่า ถ้าอยากได้งบประมาณคืนให้กับประชาชน ขอเสนอในระยะสั้นให้สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกันคว่ำร่างงบประมาณปี 2565 เและนำกรอบงบประมาณปี 2564 มาใช้ไปพลางก่อน และในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่สามารถโหวตรับรองร่างงบประมาณฉบับนี้ผ่านไปได้
@ 'บิ๊กตู่' แง้ม 'ไฟเซอร์' เข้าไทยไตรมาส 3-4 อีก 10-20 ล้านโดส
ต่อมาเมื่อเวลา 19.10 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า ขอบคุณการอภิปรายของ ส.ส.ที่มีข้อเสนอแนะ และจะนำไปพิจารณา ทั้งนี้่งบประมาณที่ปรับลดในชั้นงบประมาณจะนำไปจัดสรรให้โครงการที่ได้รับงบน้อย และอาจต้องทำโครงการใหม่ อย่างไรก็ดีในสถานการณ์โควิด รัฐบาลได้เตรียมแผนงาน หลังจากสถานการณ์คลี่คลาย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาดต่อการแก้ไขและบริหารวัคซีนป้องกันโควิด ในรายละเอียดได้เตรียมความพร้อม รวมถึงมีการลงทุน ส่วนเหตุผลที่รัฐบาลไทยไม่เข้าโครงการโคแวกซ์ เพราะไม่ได้อยู่ในเกณฑ์รับวัคซีนฟรี หากไทยเข้าร่วมจะต้องจ่ายค่าวัคซีนแพง ไม่สามารถเลือกยี่ห้อวัคซีนได้ รวมถึงต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ส่วนวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์นั้นอยู่ระหว่างประสานกับ อย. และส่งได้ ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ประมาณ 10-20 ล้านโดส
“วันหน้าวัคซีนผลิตได้มาก โรคน้อยลง โอกาสเอกชนเจรจาตรงและหาได้เอง เป็นสิ่งที่คาดหวังไว้ ส่วนการเจรจาของเอกชน และ อปท. ผมไม่ขัดข้องเพราะฉีดให้คนไทยด้วยกัน ที่สำคัญคือเขาขายให้หรือไม่ หรือตัดยอดของรัฐบาลหรือไม่ ทั้งนี้ผมไม่ได้หน้าอะไรจากตรงนี้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
(พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม)
@ 'ศุภชัย'น้อยใจ สธ.ถูกดึงอำนาจแก้โควิด
เมื่อเวลา 15.00 น. นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่อภิปรายเป็นคนสุดท้ายของพรรค เพื่อสรุปประเด็นและสะท้อนให้เห็นว่า พรรคคิดอย่างไร เห็นอะไรจาก ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 เป็นการจัดทำงบประมาณท่ามกลางประเทศเจอปัญหายิ่งใหญ่อย่างโควิด แต่ดูเหมือนว่ากลับไม่เตรียมการมอบอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับนักรบที่เป็นหน่วยหน้าในการสู้รบ คือกระทรวงสาธารณสุข ส.ส.พรรคภูมิใจไทยได้แสดงให้เห็นว่า ขวัญกำลังใจของนักรบในด่านหน้าขาดเป็นอย่างยิ่ง เราสะท้อนให้เห็นว่าเขามีความสำคัญที่จะต้องได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ แต่กลับดูว่า ในปี 2565 นี้กลับไม่ได้รับการสนับสนุน มิหนำซ้ำอย่างที่ได้ทราบกัน งบประมาณหลายส่วนทั้งที่ความจริงรับปากว่าจะโอนกันตั้งแต่ปีที่แล้ว เช่น งบเสี่ยงภัย ก็ยังไม่มีการโอนอย่างที่เราทราบกัน ตัวเลขกระทรวงสาธารณสุขในปี 2565 ได้รับงบประมาณลดลง ทั้งที่งบประมาณที่ควรจะอยู่ในมือของคนสาธารณสุข
“เงินที่จำเป็นต้องใช้เหล่านั้น กลับถูกหน่วยงานอื่นไปเป็นผู้จัดการเอง ทำนองว่าคนทำไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ทำงบประมาณ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการซื้อวัคซีน งบประมาณเหล่านี้ ถูกตัดทิ้งไป และโอนไปอยู่งบอื่น การบริหารจัดการอื่นการซื้อวัคซีนกี่หมื่นล้านบาทก็ตาม ไม่ได้อยู่ในมือของผู้ที่มีหน้าที่ต้องทำแต่ไปอยู่ในหน่วยอื่น ซึ่งเป็นที่ทราบกัน” นายศุภชัย กล่าว
นายศุภชัย กล่าวอีกว่า สิ่งที่อยากจะฝากไปถึงนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลว่า สิ่งที่ ส.ส.พรรคภูมิใจไทยเสนอ เกิดจากความน้อยใจหรือไม่ ก็อาจจะใช่ หลังจากที่ท่านบอกแล้วว่าจะแก้ปัญหาก็ขอบพระคุณท่าน แต่เรายังติดใจที่ท่านจะได้กรุณานำข้อเสนอ ข้อคิดเห็นของเราไปพิจารณาต่อไปด้วยความเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม หลังการรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 เข้าใจว่าผู้นำคณะรัฐประหาร ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงนั้น ก็เป็นมาจนถึงช่วงนี้ ณ เวลานั้นท่านต้องการแก้ปัญหาบ้านเมือง อาจเรียกได้ว่าเป็นรูปแบบรัฐราชการ ซึ่งคือการปกครองที่ใช้ข้าราชการ การบริหารราชการแผ่นดิน จึงใช้ข้าราชการมาบริหารในช่วง 5 ปีที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี แน่นอนว่าท่านต้องทำอย่างนั้น เพราะต้องการอำนาจเบ็ดเสร็จ มีข้าราชการในการแก้ปัญหาประเทศ เพื่อปฏิรูปประเทศ หลังจากเกิดความวุ่นวายก่อนปี 2557
“ในฐานะสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ที่ตั้งใจทำงานสนับสนุนพรรครัฐบาล พวกผมทุ่มเททำงานในฐานะสมาชิกพรรครัฐบาลด้วยความตั้งใจ ด้วยความเต็มใจ และอยากจะเรียนว่าท่านหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ท่านก็ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ แต่การที่มีศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โอนอำนาจสาธารณสุขไปอยู่ที่ ศบค. โอนกฎหมาย 40 ฉบับไปอยู่ตรงนั้น อำนาจทุกอย่างอยู่ตรงนั้น และ ศบค.ดำเนินการโดยเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นข้าราชการก็ ซี 11 ท่านกลับมีอำนาจมากกว่า ถามว่าพรรคภูมิใจไทยรู้สึกอย่างไร ท่านไม่คิดหรือว่าพวกเราจะรู้สึกอย่างไร แม้ว่าเราไม่พูด แต่เราคิด ถามว่าเรารู้สึกหรือไม่ เรารู้สึก ถึงได้มีเสียงสะท้อนตั้งแต่วันแรกว่า กลับบ้านเถอะ” นายศุภชัย กล่าว
นายศุภชัย กล่าวอีกว่า บางคำสั่งในฐานะหัวหน้า ศบค. ตั้งให้เลขาฯ สมช.เป็นประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจการแพทย์และสาธารณสุข และมี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เป็นที่ปรึกษา เวลานั่งประชุม จะนั่งกันอย่างไร คนเป็นประธานคือ เลขาฯ สมช. คนเป็นที่ปรึกษาต้องไปนั่งข้างๆ ใช่หรือไม่ และขออนุญาตมาเรียนให้ทราบว่า เรารู้สึกอย่างไร อยากจะเรียนว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล คือ ลูกน้องท่านนายกรัฐมนตรี ท่านใช้งานเขาเถอะ เขาพร้อมที่จะทำสนองท่านตลอดเวลา เวลาอยู่ในการประชุมของพรรค นายอนุทินพูดยกย่องท่านนายกรัฐมนตรีตลอด ทำไมท่านไม่ใช้เขา และอยากจะเรียนว่า แนวทางที่จะทำงานต่อไปด้วยกัน พวกเรายินดีที่จะสนับสนุนให้งานอันสำคัญของประเทศมันผ่านไป
“วันนี้ผมยืนอยู่จุดนี้ จุดที่ยังยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยยังตั้งใจที่จะสนับสนุนรัฐบาลนี้ต่อไป ตราบเท่าที่เราทำงานกันด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไว้เนื้อเชื่อใจ ทุ่มเทการทำงานเพื่อประชาชนด้วยกัน วันนี้สิ่งที่พรรคภูมิใจไทยเรียกร้อง ขอให้เรียกร้อง ใช้งานเราเถอะครับ เราพร้อมทำงานอย่างทุ่มเท ประการสำคัญ ขอให้รัฐบาลอย่าได้ใช้อำนาจฝ่ายราชการเข้ามาลดทอนอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ สิ่งนี้ยอมรับไม่ได้ ฝากรัฐบาลว่าสิ่งที่พูดนี้ขอให้นำไปปฏิรูปปรับปรุงแนวทาง และยินดีที่บอกว่าเราพร้อมฟันฝ่าอุปสรรคที่เกิดขึ้นนี้ด้วยกัน และตอบตรงนี้เลยว่า จะลงมติเห็นชอบ วาระที่ 1” นายศุภชัย กล่าว
(ศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย)
@ 'บิ๊กตู่'ยันอยากคืนอำนาจแก้โควิด แต่'อนุทิน'บอกเอาไว้ก่อน ทำไม่ไหว
ต่อมา เวลา 15.45 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า มีคำกล่าวอยู่หลายท่านที่กล่าวว่านายกรัฐมนตรีไม่มีขีดความสามารถ ไม่มีความรู้เรื่องสาธารณสุข เรื่องแพทย์ การเอาอำนาจมาถือไว้ถือเป็นการไม่เหมาะสม ขอกราบเรียนว่า ตนให้เกียรติ รองนายกรัฐมนตรีทุกคน ทุกท่าน สามารถคุยกันได้ทุกโอกาสได้ วันละหลายครั้ง ได้มีการหารือตลอดเวลา ทุกวัน วันละหลายเวลา โดยเฉพาะเรื่องโควิด โดยเฉพาะรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข คุยกันบ่อยครั้งมาก เพื่อพิจารณาร่วมกัน เหมือนกับท่านเป็นที่ปรึกษาให้ตน ให้เกียรติกันและกันอยู่แล้ว ไม่เห็นมีปัญหาอะไร
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยืนยันว่า ข้อมูลที่ได้มาจากหลายฝ่าย และนำมาประมวล และให้แนวทางไปกับ ศบค. ที่อาจจะเป็นเลขาฯ สมช. ก็ให้แนวทางการบริหารไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนรับมาจากรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ให้เขาไปพิจารณาว่าจะบริหารจัดการอย่างไร ใน ศบค.มีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง เน้นความสำคัญกับบุคลากรแพทย์เป็นหลัก แต่จำเป็นที่ต้องในสิ่งที่เรียกว่ารวบอำนาจ เนื่องจากกฎหมาย พ.ร.บ.โรคติดต่อฯให้เฉพาะในกรอบอำนาจเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ทำให้สั่งการหน่วยงานอื่นไม่ได้ จึงจำเป็นต้องนำกฎหมายกว่า 30 ฉบับมาดู ถ้าจะให้ทหารทำจะสั่งอย่างไร กระทรวงมหาดไทย ตำรวจ ที่เขาไม่มีหน้าที่ตรงนี้ไปทำงานได้อย่างไร นั่นคืออำนาจบูรณาการของตน ไม่ได้อยู่ดีๆ นึกจะสั่งนั่นนี่ให้ใคร เขาต้องพิจารณามาทั้งหมดและเสนอเข้ามาใน ศบค
"การที่บอกว่าผมไม่ให้เกียรติ ผมคิดคนละทางมากกว่า ถ้าผมตั้งเลขาฯ สมช. เป็น ผอ.ศบค. และให้รองนายกรัฐมนตรี ไปนั่งข้างๆ ค่อยมาว่าผม เพราะคำว่าที่ปรึกษา หมายถึงเป็นที่ปรึกษากับผม และผมก็ไปสั่ง ศบค.ให้ไปพิจารณาดู โดยต้องฟังความเห็นจากบุคลากรในที่ประชุม ประชุมกันทุกวันเช้า-บ่ายไม่มีวันหยุด นำไปสู่การปฏิบัติ อะไรเป็นมติร่วมกัน ฟังเหตุผลด้านสาธารณสุขเป็นหลัก มาจากกระทรวงสาธารณสุขแน่นอน และมีบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆมากมายเข้ามาเป็นที่ปรึกษา เป็นคณะกรรมการเยอะแยะไปหมด นั่นคือการทำงาน ศบค. ไม่ใช่ single cammand" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า เรื่องงบกลางขอกราบเรียนอีกครั้ง ไม่ใช่นึกจะใช้ก็ใช้ได้ หรือทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมมในพรรคต่างๆ ขอยืนยันว่าให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นหลักทุกภาค ทุกกลุ่มจังหวัด งบกลางมีพันธะกรณีหลายเรื่อง ไม่ใช่นึกจะสั่งอะไรก็ได้ ต้องผ่านกลไกตรวจสอบคัดกรอง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาใช้งบกลางไปมากพอสมควร คือให้กับจังหวัดในการประชุมคณะกรรมการกลุ่มจังหวัดทุกครั้ง เขาขอมาเรื่องน้ำ เรื่องอะไรเหล่านี้ที่ไม่มีแผนงาน ตนก็ให้ บางครั้งให้ไปหลายร้อยล้านบาท เพราะมันเร่งด่วน ก็ต้องใช้ประหยัด คุ้มค่าในการแก้ปัญหา ไม่ใช่ว่าตนใช้เอง ตรวจสอบไม่ได้ ถูกตรวจสอบทุกอย่าง งบภาครัฐ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้อยู่แล้ว ถึงต้องระวัง มันไม่ง่ายนักหรอก หากจะทำตามใจทุกอย่าง และตนก็ไม่ใช่คนแบบนั้น
"ท่านรองนายกรัฐมนตรีก็คุยกับผมเสมอ ทุกวัน เพราะโควิด เดี๋ยววัคซีนบ้าง เดี๋ยวเรื่องการฉีดบ้าง เดี๋ยวเรื่องการให้บริการตรงนี้บ้าง ผมก็แก้ให้ ไม่เคยทิ้ง ให้เกียรติท่านเสมอ แล้วไม่ใช่ท่านคนเดียว ผมให้เกียรติทุกคน ให้เกียรติรองนายกรัฐมนตรีทุกคน ให้เกียรติ ส.ส. ให้เกียรติฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ผมให้เกียรติหมด เพราะผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมทำงานให้ประชาชน ท่านเป็นผู้แทนประชาชน ท่านเสนออะไรที่เป็นประโยชน์มาผมทำให้หมด บางอย่างช้าบ้าง เร็วบ้าง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น ฉะนั้นเรื่องที่บอกนายกรัฐมนตรียึดอำนาจมา ไม่ใช่นะครับ คงเข้าใจแล้วตามที่ผมพูด ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะอธิบายอย่าไรไแล้ว และท่านรองนายกรัฐมนตรียืนยันกับผมเสมอ ผมถามว่าจะเอาคืนไปหรือยัง ท่านก็บอกว่ายังหรอกครับ สธ.ทำไม่ไหวครับ เพราะไปสั่งใครเขาไม่ได้ สั่งได้แต่ข้าราชการสาธารณสุข ผมถามว่าใช่หรือไม่ ไปถาม ส.ส.ว่าใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็ว่ากันอีกที กฎหมายมีทุกกระทรวงครับ หน้าที่พันธกิจเขามีอยู่แล้ว หน้าที่นี้จริง ๆ เป็นของ สธ. แล้วใช้บุคลากร สธ. วันนี้ไปไหวหรือไม่ ผมอยากจะคืนให้ตั้งนานแล้ว ท่านบอกเอาไว้ก่อน นี่คือข้อเท็จจริง ผมไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งให้กับใครทั้งสิ้นนะครับ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ข่าวประกอบ :
เขาไม่รักก็กลับบ้าน! 'ชาดา'โวย สธ.ถูกตัดงบ - 'กนก' ห่วงหนี้ท่วม สัญญาณเตือนวิกฤต ศก.
'บิ๊กตู่'ย้ำมีงบจัดหาวัคซีนไม่จำกัด 'อนุทิน'ยัน สธ.ได้รับจัดสรรเงินสู้โควิดไว้แล้ว
น้อยใจ 7 ปีบอกไม่มีอะไรดีขึ้น! 'บิ๊กตู่'ร่ายยาวงบปี 65 'หมอ'ได้น้อยกว่า'กองทัพ'?
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage