‘หมอยง’ ย้ำวัคซีนในไทยสามารถป้องกันหรือลดความรุนแรงของโควิดสายพันธุ์อินเดียได้ พร้อมแนะเร่งฉีดวัคซีนหมู่มากให้เร็วที่สุด เป็นวิธีช่วยยับยั้งการระบาดได้ดีในขณะนี้
……………………………………………….
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2564 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan กล่าวถึงโควิดสายพันธุ์อินเดียว่า ก่อนหน้านี้ที่ศูนย์เคยพบสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2 จากผู้เดินทางมาจากอินเดีย 8 คน ในสถานกักกัน ซึ่งครั้งนั้นยังไม่มีผลต่อการระบาดภายในประเทศไทย อย่างไรก็ตามเมื่อมีการพบสายพันธุ์อินเดีย ในประเทศไทยจึงจำเป็นที่จะต้องควบคุมให้ได้โดยเร็ว ก่อนที่จะสร้างปัญหาใหญ่โต
ศ.นพ.ยง กล่าวอีกว่า สายพันธุ์ที่ระบาดอย่างรุนแรงในอินเดีย ประกอบไปด้วย สายพันธุ์อินเดียและสายพันธุ์เบงกอล สายพันธุ์อินเดีย เป็นสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง และให้ความสำคัญ Variant of Concern (VOC) อีกสายพันธุ์หนึ่ง รวมทั้งสายพันธุ์อังกฤษ เนื่องจากมีการแพร่กระจายได้ง่ายมากอย่างรวดเร็ว
“ สายพันธุ์อินเดีย B.1.617 มี 3 กลุ่มย่อย คือ B.1.617.1, B.1.617.2, B.1.617.3 ดังแสดงในรูป แต่สายพันธุ์ที่ระบาดมากในอินเดียและกระจายไปในประเทศต่างๆ เป็นจำนวนมากคือสายพันธุ์ B.1.617.2” ศ.นพ.ยง กล่าว
ศ.นพ.ยง กล่าวด้วยว่า สายพันธุ์นี้ได้ระบาดกระจายไปหลายประเทศทั้งยุโรป สหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศอังกฤษ โดยมีข้อมูลจากอังกฤษว่า ด้วยความสามารถของไวรัสสายพันธุ์นี้ที่สามารถแพร่กระจายได้ง่าย ทำให้ทางอังกฤษต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
โดยการรายงานในข่าวของ Reuters กล่าวว่า สายพันธุ์นี้แพร่กระจายได้ง่าย แต่ไม่น่าจะหลบหลีกภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ใช้ในประเทศอังกฤษ ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาในแนวลึก
ศ.นพ.ยง กล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าเราดูในหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์ สายพันธุ์ที่แพร่กระจายได้ง่ายจะมีการกลายพันธุ์ในส่วนของ Spike protein ดังนี้ D614G หรือที่เราเรียกว่าสายพันธุ์ G คือตำแหน่งที่ 614 มีการเปลี่ยนแปลงของกรดอะมิโนจาก Aspartate ไปเป็น Glycine ทำให้สายพันธุ์นี้ครองโลกอยู่ขณะนี้
ตำแหน่ง N501Y มีการเปลี่ยนแปลงจาก Asparagine ไปเป็น tyrosine และทำให้จับกลับตัวรับบนผิวเซลล์ได้ดีขึ้น พบในสายพันธุ์อังกฤษ ที่ทำให้แพร่กระจายได้ง่ายขึ้น
ที่สำคัญอีกตำแหน่งหนึ่งคือตำแหน่ง 681 ในตำแหน่งนี้ทั่วไปกรดอะมิโนจะเป็น Proline จะเป็นตำแหน่งที่เอนไซม์ของร่างกายเราคือ furin ไปตัดแบ่ง spike protein หลังจากไวรัสได้เกาะกับเซลล์เรียบร้อยแล้ว ถ้าสามารถตัดได้ง่ายไวรัสก็จะมุดเข้าสู่เซลล์ได้ง่าย เพราะการเกาะติดและเข้าสู่เซลล์จะต้องมีการตัดส่วนของ Spike protein ให้แยกขาดออกจากกัน (S1 และ S2) เพื่อให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ ถ้ายิ่งตัดง่ายก็เข้าสู่เซลล์ได้ง่าย เกิดการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าเปลี่ยนเป็น กรดอะมิโนที่เป็นด่าง
“จะเห็นว่าสายพันธุ์อินเดีย ต่างจากสายพันธุ์อื่นคือเป็น 681R ในตำแหน่งนี้เป็น Arginine ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นด่าง ทำให้เอนไซม์ Furin ตัดได้ง่ายขึ้นและ ง่ายที่จะเข้าสู่เซลล์หรือการติดเชื้อนั้นเอง” ศ.นพ.ยง กล่าว
การเปลี่ยนแปลงที่จะหลบหลีกระบบภูมิต้านทานส่วนใหญ่ จะให้ความสำคัญอยู่ในตำแหน่งที่ 484 วัคซีนส่วนใหญ่ที่ทำมาจะเป็นสายพันธุ์ ในตำแหน่งนี้คือกรดอะมิโน Glutamic (E) แต่ถ้าเปลี่ยนไปเป็น K หรือ Lysine อย่างเช่นในสายพันธุ์แอฟริกาใต้ จะทำให้หลบหลีกระบบภูมิต้านทานที่จะทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง
เมื่อดูสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2 ในตำแหน่งนี้ยังเป็น E ดังนั้นด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ วัคซีนที่ใช้อยู่น่าจะมีประสิทธิผลในการป้องกันได้ เช่นเดียวกันกับที่มีการพูดในอังกฤษผ่านสำนักข่าวออกมา
“การแพร่กระจายได้ง่ายนี้เองทำให้ทั่วโลก ให้ความสำคัญและคำนึงถึงสายพันธุ์อินเดียมีการพยายามป้องกันอย่างเต็มที่ไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศของตัวเอง แต่ต้องยอมรับว่าการป้องกันสิ่งที่มองไม่เห็น สามารถทำได้ยาก ถ้าขาดระเบียบวินัย” ศ.นพ.ยง กล่าว
ศ.นพ.ยง กล่าวสรุปว่า สายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2 จะแพร่กระจายได้ง่าย จะง่ายเท่าสายพันธุ์อังกฤษหรือมากกว่าสายพันธุ์อังกฤษ ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจน แต่สายพันธุ์นี้ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ วัคซีนที่เราใช้อยู่นี้ น่าจะป้องกันได้
อย่างไรก็ตามมีผลการศึกษาในประเทศอังกฤษ เปิดเผยข้อมูลว่าสายพันธุ์อินเดียที่เข้าไประบาดในอังกฤษ ส่วนใหญ่จะเกิดในชุมชนที่มีการฉีดวัคซีนอัตราการครอบคลุมต่ำ และจะพบมากในเด็กวัยรุ่นหรืออายุน้อยที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน มากกว่าผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีนแล้ว ดังนั้นการจะยับยั้งการระบาดของสายพันธุ์นี้ได้ดีในขณะนี้ คือการให้วัคซีนให้เร็วที่สุด และให้หมู่มากที่สุด
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/