ศาลพิพากษาประหารชีวิต ‘บรรยิน ตั้งภากรณ์’ คดีวางแผนฆ่า ‘เสี่ยชูวงษ์’ ชี้เป็นการไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง-ปกปิดความผิดกรณีปลอมเอกสารโอนหุ้น มิได้รู้สำนึกในการกระทำของตัวเอง เคยเป็น ตร.แต่ไม่มีสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี มิยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง
..........................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 ศาลอาญาพระโขนง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.1951/2561 คดีหมายเลขแดงที่ อ.3890/2561 ระหว่างนางศิริรัตน์ แซ่ตั้ง (ภรรยานายชูวงศ์ แซ่ตั้ง นักธุรกิจชื่อดัง) กับพวกรวม 4 ราย เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นจำเลย และอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.4915/2549 คดีหมายเลขแดงที่ อ.3889/2561 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน เป็นจำเลย โดยศาลมีคำสั่งให้รวมสำนวนทั้ง 2 คดีเพื่อพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน กรณีกล่าวหาว่าจำเลยวางแผนฆาตกรรมนายชูวงศ์ แซ่ตั้ง
โดยศาลพิพากษาว่า พ.ต.ท.บรรยิน จำเลย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (7) ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษประหารชีวิต ส่วนที่โจทก์ที่ 5 มีคำขอให้นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อ.636/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ (คดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา) ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 69/2563 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (คดีปลอมเอกสาร) นั้น เนื่องจากศาลมีคำพิพากษาประหารชีวิตจำเลย จึงไม่อาจนับโทษจำคุกต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้
ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งห้า และจำเลยโดยตลอดแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นที่ยุติว่า นายชูวงศ์ แซ่ตั๊ง ผู้ตาย กับจำเลยเป็นเพื่อนกัน เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2558 จำเลย ผู้ตาย และนายชาญศักดิ์ ธนเตชา คนสนิทของจำเลยกับเพื่อนคนอื่น ๆ ร่วมเล่นกอล์ฟที่สนามกอล์ฟเลควูด คันทรี่คลับ และร่วมรับประทานอาหารเย็นโดยเรียกเก็บเงินค่าอาหารเมื่อเวลา 19.51 นาฬิกา หลังจากนั้นจำเลยขับรถยนต์ประเภทเอสยูวี ยี่ห้อเล็กซัส สีดำ หมายเลขทะเบียน ภฉ 1889 กรุงเทพมหานครโดยมีผู้ตายนั่งมาในรถเพียงลำพัง 2 คน ออกจากสนามกอล์ฟ และรถยนต์คันที่จำเลยขับชนเข้ากับต้นไม้ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รกร้างช่วงระหว่างถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 50 และ ซอย 48 และผู้ตายถึงแก่ ความตาย ส่วนจำเลยได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ทั้งห้ามีพยานกลุ่มพนักงานสืบสวนสอบสวนมานำสืบว่า จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยขับรถพาผู้ตายออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. เพื่อไปส่งผู้ตายที่บ้านโดยไม่ได้แวะที่ใด ระหว่างทางขณะที่จำเลยขับรถด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อขับรถไปถึงบริเวณถนน เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 50 และซอย 48 มีรถยนต์จากฝั่งตรงข้ามวิ่งแซงสวนทางล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถที่ 2 จากซ้ายที่จำเลยใช้อยู่ จำเลยจึงต้องหักเลี้ยวรถหลบไปทางซ้าย รถยนต์กระแทกขอบทางเท้าและพุ่งผ่านรั้วลวดหนามเข้าไปตรงบริเวณที่รกร้างข้างทางและชนเข้ากับต้นไม้เป็นเหตุให้ผู้ตาย ถึงแก่ความตาย ส่วนนายชาญศักดิ์คนสนิทของจำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า ขับรถออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. เช่นกัน
แต่จากการสืบสวนสอบสวน พบภาพรถยนต์ของจำเลยขับผ่านกล้องวงจรปิดตรงบริเวณธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนบางนา-ตราด กม.18 ที่ตั้งอยู่ตรงปากทางเข้าออกสนามกอล์ฟเมื่อเวลา 20.11 น. และพบรถยนต์ของนายชาญศักดิ์ขับผ่านกล้องวงจรปิดดังกล่าวเมื่อเวลา 20.14 น.นอกจากนั้นยังตรวจสอบพบข้อมูลการใช้สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่เสาบางโฉลงใน 1 ตรงบางนา-ตราด กม.16 เมื่อเวลา 20.29 น.และที่เสาซอยรัตนราช ตรงบางนา-ตราด กม.17 เมื่อเวลา 21.06 น.ซึ่งเสาทั้งสองตั้งอยู่ห่างจากสนามกอล์ฟประมาณ 3 กิโลเมตร จึงเชื่อว่า จำเลยขับรถพาผู้ตายออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลาประมาณ 20.11 น. มิใช่ 21.00 น. อย่างที่จำเลยกล่าวอ้าง
จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตรงบริเวณใกล้กับจุดที่รถยนต์ชนต้นไม้พบว่า จำเลยใช้ช่องทางเดินรถที่ 1 จากซ้ายและขับรถที่ความเร็วประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เท่านั้น ซึ่งโจทก์ทั้งห้ายังมีกลุ่มพยานผู้เชี่ยวชาญผู้ทำการทดสอบการขับรถเบิกความยืนยันว่า จากการทดสอบพบว่าจำเลยใช้ความเร็วรถขณะชนทางเท้าและปะทะกับต้นไม้ที่ประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงเชื่อว่าขณะที่จำเลยหักเลี้ยวรถไปทางซ้ายและชนกับทางเท้าจำเลยใช้ความเร็วรถประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากนี้พยานกลุ่มเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยนำสืบว่าเมื่อไปถึงจุดที่รถยนต์ชนต้นไม้ ผู้ตายไม่มีสัญญาณชีพแล้ว ไม่สามารถปั๊มหัวใจจนกลับมามีสัญญาณชีพได้ และม่านตาขยาย และมีพยานกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนำสืบว่า จากการชันสูตรศพผู้ตาย พบบาดแผลบวมช้ำที่ศีรษะด้านหลังซ้ายพื้นที่ 8×6 เซนติเมตร บาดแผลถลอกบริเวณคาง กระดูกคอข้อที่ 6 และ 7 หัก และพบเศษเนื้อสัตว์และผักเต็มกระเพาะอาหาร และระบุสาเหตุการตายว่า เลือดออกใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นใน สมองบวม จากการกระทบกระแทกของแข็ง ทั้งยังมีพยานกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการขับรถเบิกความว่า รถยนต์คันเกิดเหตุมีเบาะรองศีรษะ เมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่น่าส่งผลให้กระดูกคอข้อที่ 6 และ 7 หัก และมีความเห็นทำนองว่าสภาพบาดแผลที่พบอันเป็นสาเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายไม่สอดคล้องกับลักษณะการเกิดอุบัติเหตุ อีกทั้งการที่ตรวจพบเศษอาหารเต็มกระเพาะอาหารของผู้ตาย แสดงว่าผู้ตายถึงแก่ความตายหลังจากรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายประมาณครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง เมื่อจำเลยขับรถพาผู้ตายออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลา 20.11 น. และเกิดเหตุรถยนต์ชนต้นไม้เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. จึงเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง จึงเชื่อว่าผู้ตายถึงแก่ความตายมาก่อนที่จะเกิดเหตุรถยนต์ชนต้นไม้ และบาดแผลบวมช้ำที่ศีรษะด้านหลังซ้ายของผู้ตาย กระดูกต้นคอผู้ตายข้อที่ 6 และ 7 หัก และรอยถลอกใต้คางของผู้ตาย ไม่ได้เกิดจากการที่รถยนต์ชนต้นไม้
โจทก์ทั้งห้ายังมีพยานกลุ่มพนักงานสืบสวนสอบสวนเบิกความอีกว่า จำเลยมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนางสาวอุรชา วชิรกุลฑล บุตรสาวของนาวสาวศรีธรา และนางสาวกัญฐณา และได้ร่วมกับนางสาวอุรชา และนางสาวกัญฐณาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมเพื่อโอนหุ้นของผู้ตายไปยังนางสาวศรีธราและนางสาวกัญฐณา ส่วนจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความลอย ๆ โดยมิได้นำพยานหลักฐานหรือผู้เชี่ยวชาญมาหักล้างข้อเท็จจริง จึงฟังได้ว่า เพื่อมิให้ผู้ตายทราบถึงการกระทำความผิดที่จำเลยร่วมกับนางสาวอุรชา และนางสาวกัญฐณาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมในการโอนหุ้นของผู้ตายไปให้นางสาวศรีธราหรือนางสาวอุรชา และนางสาวกัญฐณา
จำเลยจึงร่วมกับผู้อื่นที่ไม่ทราบชื่อและจำนวนที่แน่นอนวางแผนฆ่าผู้ตาย โดยสร้างเรื่องราวว่าในวันเกิดเหตุ ผู้ตายมีนัดเล่นกอล์ฟกับจำเลยและผู้ใหญ่ที่ผู้ตายเคารพนับถือไว้ ผู้ตายจึงจำต้องไปเล่นกอล์ฟด้วยโดยไม่อาจปฏิเสธได้ หลังจากนั้นวางแผนอ้างว่าจะขับรถพาผู้ตายไปส่งที่บ้าน แต่กลับใช้โอกาสดังกล่าวร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายโดยใช้อาวุธที่เป็นวัตถุของแข็งไม่มีคมตีผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ณ บริเวณสถานที่ใดที่หนึ่งใน ตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นจุดที่ปรากฏข้อมูลการใช้สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยจากเสาส่งสัญญาณบางโฉลงใน 1 และเสาซอยรัตนราช ที่ห่างกันเพียงประมาณ 1 กิโลเมตร และห่างจากสนามกอล์ฟประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นเวลานานถึง 37 นาที และอำพรางคดีว่าสาเหตุการตายของผู้ตายเกิดจากอุบัติเหตุรถยนต์ชนต้นไม้ตรงบริเวณถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 50 และซอย 48 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร
การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นการร่วมกันกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิด เพื่อปกปิดความผิดของตน หรือเพื่อเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนได้กระทำไว้ จำเลยกระทำความผิดด้วยความโลภอยากได้ในทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นอย่างมากโดยอาศัยโอกาสและความไว้เนื้อเชื่อใจในความเป็นเพื่อนสนิทระหว่างจำเลยกับผู้ตาย และคบคิดกับพวกด้วยการวางแผนและลงมือฆ่าผู้ตายจากนั้นปกปิดการกระทำโดยสร้างเรื่องและอำพรางคดีว่าสาเหตุการตายของผู้ตายเกิดจากอุบัติเหตุ เมื่อถูกจับกุมดำเนินคดี ก็มิได้รู้สำนึกในการกระทำของตนและบรรเทาผลร้ายแต่อย่างใด แต่กลับปฏิเสธและต่อสู้คดีมาโดยตลอด ทั้งจำเลยยังเคยรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นสัญญาบัตร มีความรู้ด้านกฎหมาย จึงควรต้องมีสำนึกและความรู้ผิดชอบชั่วดี แต่จำเลยกลับกระทำความผิดโดยมิได้ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง
หมายเหตุ : ภาพประกอบ พ.ต.ท.บรรยิน จาก https://storage.thaipost.net/
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage