ล่าสุดชั้นฎีกาให้รอลงอาญา คุก 3 ปี อดีตนายกเทศมนตรีดอนยายหอม เรียกรับผลปย.สร้างสะพาน

ป.ป.ช. เผยแพร่ผลคดีชี้มูลความผิด 'วิทยา ศุภศิริโภคา' อดีตนายกเทศมนตรีตำบลดอนยายหอม นครปฐม เรียกรับผลประโยชน์ตอบแทนอนุมัติโครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาลงโทษ จำคุก 3 ปี ส่วนพวก 1 ราย 'สุรเชษฐ จำปาศรี' รองนายกฯ โดน 2 ปี -ล่าสุดชั้นฎีกา ให้รอลงอาญา ชี้ไม่มีพฤติการณ์ทุจริต

picjuiidididid4

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าคดีกล่าวหา นายวิทยา ศุภศิริโภคา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลดอนยายหอม อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม และ นายสุรเชษฐ จำปาศรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีตำบลดอนยายหอม เรียกรับผลประโยชน์ตอบแทนในการอนุมัติให้เบิกจ่ายเงิน และลงนามในใบถอนเงิน /เช็ค ธนาคารเพื่อจ่ายเป็นค่าจ้างเหมา โครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก และรื้อถอนสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเก่า ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาตรา 151 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2560 ที่ผ่านมา

โดยความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาว่า นายวิทยา ศุภศิริโภคา นายกเทศมนตรีตำบล ดอนยายหอม มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำคุก 3 ปี

ส่วนนายสุรเชษฐ จำปาศรี รองนายกเทศมนตรีตำบลดอนยายหอม มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 จำคุก 2 ปี

เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมลงมติเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 เห็นชอบในการที่อัยการสูงสุดจะไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

pouy002

สำนักข่าวอิศรารายงานล่าสุด นายวิทยาได้ทำหนังสือชี้แจงคำพิพากษามายังสำนักข่าวอิศราเพื่อยืนว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีนี้ โดยเนื้อหาหนังสือชี้แจงสรุปได้ว่า คดีนี้ได้มีการต่อสู้จนไปถึงศาลฎีกาและศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเป็นที่สิ้นสุดเรียบร้อยแล้ว โดยมีคำวินิจฉัยเป็นหลักฐานสำคัญว่าคดีที่ ป.ป.ช.กล่าวหานายวิทยากับพวกนั้น ในทางไต่สวนไม่มีพยานหลักฐานว่ามีการเรียกรับเงินจากผู้เสียหาย

ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่านายวิทยามิได้กระทำการโดยทุจริต เพียงแต่ใช้อำนาจหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องในกรณีพิพาทระหว่างผู้เสียหายกับผู้รับเหมาช่วงจากโครงการดังกล่าว เป็นเหตุให้มีการจ่ายเงินล่าช้ากว่าระเบียบ อันเป็นการกระทำโดยไม่ถูกต้องตามอำนาจหน้าที่เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องการกลั่นแกลังกันและไม่ปรากฏว่านายวิทยาจะได้รับผลประโยชน์ใด ๆ จึงมีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้รอการลงอาญาแก่นายวิทยา ส่วนนายสุรเชษฐ จำปาศรี ได้ถูกยกฟ้องไปเพราะไม่ใช่อำนาจหน้าที่โดยตรงเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

“ศาลฎีกาท่านได้โปรดเมตตาพิจารณาคดีและให้ความเป็นธรรมแก่กระผมด้วยการรอลงอาญาในส่วนของการปฏิบัติผิดต่อระเบียบหน้าที่ แต่มิใช่การทุจริตเรียกรับผลประโยชน์ใด ๆ กระผมจึงขอความกรุณาสำนักข่าวอิศราช่วยชี้แจงหรือปรับปรุงข้อมูลข่าวสารในคดีดังกล่าวให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาของศาลฎีกา” นายวิทยากล่าวในหนังสือชี้แจง

ccort