สลค.ร่อนหนังสือด่วนที่สุด ชี้ปมต่ออายุสัมปทานทางด่วน BEM 'ไม่สอดคล้อง' มติครม.

สลค. ทำหนังสือด่วนที่สุดถึง ‘ศักดิ์สยาม’ ขอข้อมูลเพิ่มกรณีเสนอต่ออายุสัมปทานทางด่วนกับ BEM หลังพบการดำเนินการ ‘ไม่สอดคล้อง’ มติครม.วันที่ 2 ต.ค.62 เปิดช่องขอยกเว้นมติครม.ได้ แต่ต้องเปรียบเทียบความคุ้มค่า หากขยายสัมปทานให้เอกชน พร้อมยกข้อกฎหมายชี้ช่องกทพ.สู้คดีพิพาททางด่วน

bem cabinet pic

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยเนื้อหาหนังสือระบุว่า ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอเรื่อง ขอความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัช รวมถึงส่วนดี) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (ทางพิเศษอุดรรัถยา) นั้น

สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี พิจารณาแล้วเห็นว่า

1.โดยที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ต.ค.2562 (เรื่อง แนวทางดำเนินการเกี่ยวกับข้อพิพาทของหน่วยงานของรัฐ) กำหนดว่า

“เพื่อบรรเทาความสูญเสียและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่รัฐและเพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์สูงสุดของทางราชการ กรณีหน่วยงานของรัฐมีข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองเป็นคดีเดียว หรือหลายคดีในประเด็นเดียวกันหรือเกี่ยวเนื่องกัน

เช่น กรณีคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม (การทางพิเศษแห่งประเทศไทย) แล้วมีคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งนำไปสู่การฟ้องคดีในศาลปกครองสูงสุดโดยผลของคำวินิจฉัยชี้ชาดของอนุญโตตุลากรนั้น ให้หน่วยงานของฐต้องชดใช้คำเสียหายหรืออื่นใด จึงมีมติให้หน่วยงานของรัฐนั้นอาจดำเนินการเจรจาต่อรองกับคู่พิพาทเพื่อบรรเทาความเสียหายของรัฐและให้เกิดความเป็นธรรมแก่ราษฎรได้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการอย่างโปร่งใสชอบด้วยกฎหมายและคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ”

แต่โดยที่ในเรื่องที่กระทรวงคมนาคมเสนอมานี้ ได้มีการนำข้อพิพาทที่ยังมิได้เข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ ไปรวมเป็นมูลหนี้ที่เป็นฐานในการเจรจากับคู่ทิพาทด้วย เช่น กรณีคดีผลกระทบทางแข่งขันในปี 2544-2561 คดีการไม่ปรับค่าผ่านทางตามสัญญา ปี 2561 ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอาจ 'ไม่สอดคล้อง' กับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ต.ค.2561 ข้างต้น

อย่างไรก็ดี หากกระทรวงคมนาคมเห็นการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว มีความเหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน

กระทรวงคมนาคมควรขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ต.ค.2561 เฉพาะในส่วนที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐ อาจดำเนินการเจรจาต่อรองกับคู่พิพาทที่มีข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ หรือถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองเป็นคดีเดียวหรือหลายคดีในประเด็นเดียวกันหรือเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อให้รองรับการเจจากับคู่พิพาทในส่วนข้อพิพาทที่ยังมิได้เข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการได้

2.เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า การแก้ไขสัญญาในเรื่องนี้เป็นแนวทางที่มีความเหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ขอให้กระทรวงคมนาคมจัดทำข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณา ดังนี้

2.1 เปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างแนวทางการดำเนินการตามข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมในเรื่องนี้ กับกรณีที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินโครงการเองหลังหมดสัญญา หรือกรณีที่มีการหาเอกชนรายใหม่หลังหมดสัญญาหรือกรณีอื่นๆ

2.2 ตามที่มาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ได้บัญญัติว่า “การฟ้องคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) ให้ยื่นฟ้องภายในหนึ่งปี และการฟ้องคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) ให้ยื่นฟ้องภายในห้าปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดี” นั้น การกำหนดอายุความตามบทบัญญัติมาตรา 51 ดังกล่าว จะสามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคดีได้หรือไม่ และจะส่งผลกระทบต่อจำนวนมูลหนี้ข้อพิพาทหรือไม่ อย่างไร

ทั้งนี้ สลค. ได้ขอให้กระทรวงคมนาคมจัดส่งข้อมูลเพิ่มเติมดังกล่าวมายังสลค. เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีโดยด่วน

ก่อนหน้านี้ นายศักดิ์สยาม ระบุว่า ได้เสนอเรื่องการแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัช รวมถึงส่วนดี) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (ทางพิเศษอุดรรัถยา) โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จะขยายอายุสัญญาสัมปทานให้กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เป็นเวลา 15 ปี 8 เดือน เพื่อแลกกับการยุติข้อพิพาทระหว่างกทพ.และ BEM รวม 17 คดี วงเงินพิพาทรวม 58,873 ล้านบาท

isrbem1 pic