เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ยื่นหลักฐานเพิ่มเติมต่อศาลปกครองสูงสุด ให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว กรณีฟ้องเพิกถอนสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี
วันที่ 14 ก.พ. 2563 ที่ศาลปกครองสูงสุด ถนนแจ้งวัฒนะ เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ได้ยื่นหลักฐานเพิ่มเติมต่อศาลปกครองสูงสุดกรณีคดีเกี่ยวกับผลกระทบข้ามพรมแดนจากการรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี โดยเป็นการยื่นเอกสารเพิ่มเติม หลังจากพบความเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง บริเวณท้ายน้ำจากเขื่อนไซยะบุรี ที่พรมแดนไทยลาว จาก อ.เชียงคาน จ.เลย ลงไปจนถึง จ.นครพนม และจ.อุบลราชธานี อาทิ ระดับน้ำที่ผันผวน ขึ้นลงผิดธรรมชาติและปรากฎการณ์แม่น้ำโขงสีคราม ซึ่งหมายถึงแม่น้ำขาดตะกอน แร่ธาตุสารอาหารที่จำเป็นต่อสัตว์น้ำและเกษตรกรรมตลอดลุ่มน้ำ
ทั้งนี้ เพื่อขอให้ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวและนำส่งเอกสารเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากมีข้อเท็จจริงเพิมขึ้นที่กำลังเกิดใหม่ดังเป็นที่ประจักษ์
นางอ้อมบุญ ทิพย์สุนา ผู้ฟ้องคดี กล่าวว่า การมาศาลปกครองครั้งนี้เพื่อยื่นเอกสารเพิ่มเติม เนื่องจากในพื้นที่แม่น้ำโขงพรมแดนไทยลาวตอนล่าง เกิดผลกระทบที่ชัดเจนและรุนแรงกว้างขวาง
“8 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เริ่มฟ้องคดี เราเห็นแล้วในวันนี้ว่า ผลกระทบที่ประชาชนเคยกังวลได้เกิดขึ้นแล้วอย่างชัดเจน นอกจากนี้เหตุการณ์แผ่นดินไหวในแขวงไซยะบุรีในลาวเมื่อ พ.ย.ที่ผ่านมา สร้างความวิตกกังวลแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ทางท้ายน้ำของเขื่อน ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคอีสานเป็นอย่างมาก เพราะเขื่อนไม่เคยเปิดเผยแผนรับมือภัยพิบัติว่าหากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวแล้วจะมีมาตรการรับมืออย่างไร”
ผู้ฟ้องคดี กล่าวอีกว่า แม้เขื่อนไซยะบุรีจะขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว แต่บริเวณท้ายน้ำของเขื่อนได้เกิดความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศแม่น้ำโขงเป็นที่ประจักษ์ กฟผ.ควรศึกษาผลกระทบในขณะที่เปิดประตูระบายน้ำให้แม่น้ำไหลปกติและจัดทำมาตรการบรรเทาผลกระทบในทันที
ด้าน นายชาญณรงค์ วงลา สมาชิกกลุ่มฮักเชียงคาน จ.เลย และผู้ฟ้องคดี กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มใช้งานเขื่อนเป็นต้นมา ชาวเชียงคานพบว่าระดับน้ำโขงต่ำลงกว่าปกติมากและขึ้นลงผิดธรรมชาติ พบว่าสาหร่ายเกิดขึ้นทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อน ต้นไคร้ตามเกาะแก่งแห้งตาย ปลาที่ชาวประมงจับได้เป็นปลาที่ผิดฤดูกาล เช่น จับได้ปลาเกล็ด ที่ปกติแล้วควรจับได้ในเดือนมี.ค.-พ.ค. เพราะน้ำโขงแห้งตลอด ความกังวลของคนที่พึ่งพาแม่น้ำโขง คือในอนาคตปริมาณปลาในแม่น้ำโขงอาจลดลงในระยะยาว เมื่อแม่น้ำโขงลดลง น้ำสาขาต่างๆ ถูกดึงลงไป ไม่มีน้ำท่วมหลาก ปลาไม่สามารถเข้าไปวางไข่ในลำน้ำสาขาและพื้นที่ชุ่มน้ำได้
การยื่นเอกสารเพิ่มเติมนี้ จึงอยากให้ศาลมีคำสั่งโดยเร็วให้ระงับการซื้อไฟฟ้าจนกว่าจะมีมาตรการในการแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบ
ขณะที่ น.ส. ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความจากศูนย์ข้อมูลชุมชน กล่าวว่า เราหวังว่าศาลจะใช้ดุลยพินิจในการให้ทบทวนสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่เป็นตัวสนับสนุนให้เกิดเขื่อน ซึ่งปัจจุบันเกิดผลกระทบตามที่เห็นเป็นที่ประจักษ์
“เราเชื่อว่ากระบวนการที่จะเกิดการคุ้มครอง เน้นที่ supply chain ห่วงโซ่อุปทานของการผลิตไฟฟ้านี้ ความรับผิดชอบของผู้ซื้อไฟฟ้า คือ กฟผ. ต้องรับผิดชอบ"
ทนายความ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีแผนปฏิบัติการชาติเรื่องธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human Rights) ที่จะต้องควบคุมให้เกิดการรับผิดชอบร่วม ไม่ใช่ปล่อยให้การซื้อไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนนอกประเทศกลายเป็นการทำให้เกิดการละเมิดสิทธิข้ามพรมแดน
“หากชนะคดีนี้ ต้องมีการเริ่มทำกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า (PNPCA) ในประเทศไทย หน่วยรัฐไทยต้องเข้าไปในการติดตามกระบวนการ PNPCA อย่างถูกต้อง เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ให้ความเห็นต่อโครงการเขื่อนไซะบุรีอย่างที่ควรจะเป็นและต้องจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนจากเขื่อนไซยะบุรีและรัฐต้องนำข้อห่วงกังวลของประชาชนไปเสนอในการประชุมของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ในฐานะรัฐสมาชิกของ MRC” น.ส.ส.รัตนมณี กล่าว
น.ส.เฉลิมศรี ประเสริฐศรี ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน กล่าวว่า หวังว่าศาลจะเรียกให้มีการไต่สวน เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด เพราะข้อมูลในปัจจุบันเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า โครงการเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธานตอนล่าง กำลังสร้างผลกระทบใหญ่หลวงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนต่อระบบนิเวศแม่น้ำโขงและวิถีชีวิตของประชาชนในทั้ง 4 ประเทศท้ายน้ำ
"เรามีความหวังว่า ศาลปกครองจะเป็นกลไกที่ก่อให้เกิดการคุ้มครองและเยียวยา ทั้งต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม" เฉลิมศรีกล่าวทิ้งท้าย
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/