ศาลฎีกา พิพากษายืน ยกฟ้อง นพ.จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ อดีตหน.ผู้ตรวจกระทรวงสาธารณสุข คดีเรี่ยไร เงิน 3.6ล.ซื้อรถตู้ให้รมต.ใช้ลงพื้นที่เมื่อปี 57 - เจ้าตัว ยันหลังจากนี้ไม่ขอยุ่งเกี่ยวฟ้องกลับใครอีก ให้เป็นไปกฎธรรมชาติ ปลงกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
สืบเนื่องจาก ในช่วงกลางปี 2557 ที่ผ่านมา สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เคยนำเสนอข่าวกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ลงมติชี้มูลความผิด นายแพทย์จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ขณะดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ กระทรวงสาธารณสุข ในคดีกล่าวหา ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ เรี่ยไรเงินจากโรงพยาบาลในเขตตรวจราชการที่ 6 รวม 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และจังหวัดพัทลุง บริจาคเงินรวม 3,601,020 บาท เพื่อซื้อรถตู้โฟล์คสวาเกน ให้รัฐมนตรีไว้ใช้งานในระหว่างลงพื้นที่ พร้อมส่งเรื่องให้ทางกระทรวงสาธารณสุขลงโทษวินัยร้ายแรงตามมติ ป.ป.ช. และมีการส่งสำนวนการไต่สวนคดีให้อัยการสูงสุด ฟ้องร้องดำเนินคดีอาญากับ นายแพทย์จักรกฤษณ์ ไปก่อนหน้านี้นั้น
(อ่านประกอบ : สั่งฟันวินัยร้ายแรง"หน.ผู้ตรวจสธ."เรี่ยไร 3.6 ล.ซื้อรถตู้ให้รมต.ลงพื้นที่ , เผยมติ"อ.ก.พ.สธ."สั่งเชือด"นพ.จักรกฤษณ์"คดีเรี่ยไร3.6ล.ซื้อรถตู้ให้รมต.ใช้, ย้อนผลสอบคดีเรี่ยไรเงินซื้อรถให้"รมต."ใช้-หมอจักรกฤษณ์ โวยถูกป้ายสี, "วิทยา"ยันไม่เคยสั่ง "นพ.จักรกฤษณ์" ซื้อรถตู้ให้นั่ง แลกตำแหน่งผู้ตรวจฯ)
สำนักข่าวอิศรา รายงานความคืบหน้าล่าสุดคดีนี้ ว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2562 ศาลฎีกา มีคำพิพากษายืนตาม ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้อง นายแพทย์จักรกฤษณ์ ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาในคดีนี้
ขณะที่ นายแพทย์จักรกฤษณ์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ สำนักข่าวอิศราว่า ศาลฎีกาฯ พิพากษายกฟ้องตนแล้ว อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับคดีนี้คงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรอีก หรือไปฟ้องกลับใครทั้งนั้น คงปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติ เพราะปลงกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
"เขา(ป.ป.ช.)ไปเชื่อพยานคนหนึ่งที่ให้การไม่ตรงกับความเป็นจริงเสียเยอะ เขาไปเชื่อพยานคนนั้นมาก จนทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่มีโอกาสได้ชี้แจง เขาก็เอาแค่ประเด็นข้อสงสัยมาถามผม พยานคนนั้นเขาหลบหน้าผม เขาเกษียณอายุก่อนกำหนด (เออร์ลี่ รีไทล์) ก่อนหน้าผมไปหลายปี สำหรับผมก็ดีใจที่ทางผู้พิพากษาท่านเข้าใจเรา ก็แสดงว่าระบบยุติธรรมนั้นยังแน่นอยู่"
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า สำหรับการต่อสู้คดีนี้ ของ นายแพทย์จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ นั้น ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 ฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่ง โดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน จำคุก 5 ปี แต่ทางนำสืบของนายแพทย์จักรกฤษณ์ ในฐานะจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน
ต่อมานายแพทย์จักรกฤษณ์ ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง พนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี ในฐานะฝ่ายโจทก์ฎีกาต่อ
ก่อนที่ศาลฎีกา จะมีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า นายแพทย์จักรกฤษณ์ ไม่มีความผิดตามฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานที่ทางอัยการนำสืบมายังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ฟังไม่ได้ว่า นายแพทย์จักรกฤษณ์ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่นขืนใจ หรือจูงใจเพื่อให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาล 5 แห่ง มอบให้ หรือ หามาให้ ซึ่งเงินตามจำนวนที่บริจาคแก่ตนเองหรือผู้อื่น นายแพทย์จักรกฤษณ์ ไม่ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต นายแพทย์จักรกฤษณ์ จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนยกฟ้อง
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/