ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ รมว.-ปลัดศึกษาสั่งหน่วยงานในสังกัดหักเงินเดือน-บำเหน็จบำนาญข้าราชการให้เป็นไปตามระเบียบ หลังครูเกือบ 3,000 คนยื่นฟ้อง ที่ผ่านมาดำเนินการมั่วจนเหลือต่ำกว่า 30% แถมยังออกหนังสือรับรองย้อนหลังให้สามารถไปกู้เงินได้ ทำหนี้สินรุงรัง
ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2562 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมดูแลหรือสั่งการให้หน่วยงานในสังกัด ดำเนินการหักเงินเดือนหรือเงินบำเหน็จบำนาญให้เป็นไปตามระเบียบฯ กับให้ศึกษาธิการจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมทั้งหัวหน้าสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการหักเงินเดือนหรือเงินบำเหน็จบำนาญให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของระเบียบฯ โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด
คำพิพากษาคดีดังกล่าวสืบเนื่องจากข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษายื่นฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกับพวก ให้ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการหักเงินเดือนเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการเพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้แก่สวัสดิการภายในส่วนราชการและสหกรณ์ พ.ศ. 2551 รวม 45 สำนวนคดีต่อศาลปกครองกลางโดยกล่าวอ้างว่าภายหลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการหักเงินเดือนเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการเพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้แก่สวัสดิการภายในส่วนราชการและสหกรณ์ พ.ศ. 2551 โดยมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้รักษาการตามระเบียบ แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. ละเลยต่อหน้าที่ไม่มีหนังสือแจ้งเวียนสั่งการให้ส่วนราชการในสังกัดดำเนินการหักเงินให้เป็นไปตามระเบียบ อีกทั้งศึกษาธิการจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมทั้งหัวหน้าสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ยังคงฝ่าฝืนข้อกำหนดตามระเบียบ ว่าด้วยการหักเงินเดือนหรือเงินบำนาญเพื่อชำระหนี้เงินกู้ที่ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญากู้ไว้ ทำให้ผู้ฟ้องคดีมีเงินเดือนสุทธิหลังจากหักชำระหนี้แล้วเหลือน้อยกว่าร้อยละ 30 ซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบข้อ 7 ที่กำหนดว่า การจะให้ส่วนราชการหักเงิน ณ ที่จ่ายเพื่อชำระหนี้เงินกู้นั้น จะต้องมีเงินเดือนสุทธิหลังจากหักชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าอัตราร้อยละ 30 ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2555
ศาลปกครองกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ภายหลังจากที่ได้มีการออกระเบียบแล้ว สำนักงานคณะกรรมการสวัสดิการข้าราชการครูและบุคคลากรทางการศึกษา(สกสค.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เสนอให้ออกระเบียบ ได้มีหนังสือลงวันที่ 31มกราคม 2551 แจ้งเวียนระเบียบให้หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการทราบ แต่กลับปรากฏว่าศึกษาธิการจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมทั้งหัวหน้าสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการยังคงหักเงินเดือนและเงินบำนาญของผู้ฟ้องคดีแต่ละรายไม่เป็นไปตามระเบียบ ทำให้ผู้ฟ้องคดีแต่ละรายมีเงินเหลือสุทธิหลังจากหักชำระหนี้แล้วน้อยกว่าอัตราร้อยละ 30 กับทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและปลัดกระทรวงศึกษาธิการยังรับต่อศาลว่า ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นของผู้ฟ้องคดีแต่ละราย ได้มีการออกหนังสือรับรองเงินเดือนหรือเงินบำเหน็จบำนาญและรายการหักเงิน ณ ที่จ่ายย้อนหลังให้แก่ผู้ฟ้องคดีแต่ละราย เพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการยื่นคำขอกู้เงินสหกรณ์และกู้เงินสวัสดิการภายในของส่วนราชการที่มีการทำความตกลงกับสถาบันการเงิน หรือบริษัทต่างๆ ได้ โดยที่ผู้บังคับบัญชารวมทั้งหัวหน้าส่วนราชการผู้เบิก ไม่ได้คำนึงถึงหลักเกณฑ์ตามระเบียบฯ ข้อ 6 และข้อ 7 แต่อย่างใด
พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นถึงการที่ผู้บังคับบัญชาของผู้ฟ้องคดีแต่ละราย ละเลยต่อการปฏิบัติตามระเบียบฯ และการละเลยกระทำการเช่นนี้ ย่อมเป็นการส่งเสริมให้ข้าราชการในสังกัดเป็นหนี้สินเพิ่มมากขึ้นโดยไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งขัดกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มุ่งเน้นแนวทางการปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียงในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้คนไทยสามารถพึ่งตนเองและดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีศักดิ์ศรี ภายใต้อำนาจและความมีอิสระในการควบคุมและจัดการปัญหาด้วยตนเอง จึงรับฟังได้ว่า ศึกษาธิการจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมทั้งหัวหน้าสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติตามระเบียบ ต่างให้การรับต่อศาลว่า มิได้มีการตรวจสอบหรือดำเนินการเพื่อให้มีการปฏิบัติตามระเบียบแต่อย่างใด จึงรับฟังได้เช่นกันว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ในการกำกับดูแลและดำเนินการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาถือปฏิบัติตามระเบียบ
ศาลปกครองกลางจึงพิพากษาให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมดูแลหรือสั่งการให้หน่วยงานในสังกัด ดำเนินการหักเงินเดือนหรือเงินบำเหน็จบำนาญให้เป็นไปตามระเบียบฯ กับให้ศึกษาธิการจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมทั้งหัวหน้าสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการหักเงินเดือนหรือเงินบำเหน็จบำนาญให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของระเบียบฯ โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด