ฝ่ายบัญชีบริษัทเจ้าของร้านมัลลิการ์ แจง 'อิศรา' ปมปัดเศษ VAT เกิน 50 สตางค์ขึ้นเป็น 1 บาท เป็นหลักสากล มุ่งแก้ปัญหาทอนเงินลูกค้าไม่ได้ เลยปรับระบบใหม่เริ่มใช้มาตั้งแต่ต้นปี 62 ปรึกษาสรรพากรแล้ว วอนลูกค้าเห็นใจด้วย หากใครคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถโทรร้องเรียนได้โดยตรง
สืบเนื่องจากสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รับการร้องเรียนจากลูกค้ารายหนึ่งที่เข้าไปใช้บริการรับประทานอาหารในร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่มีจำนวนกว่า 20 สาขา ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ว่า ถูกเอาเปรียบจากการปัดเศษสตางค์ค่า VAT เนื่องจากตรวจสอบข้อมูลในใบเสร็จค่าอาหารที่ทางร้านออกให้ ซึ่งมี 2 รายการหลัก ที่ทางร้านเรียกเก็บเงิน คือ ค่าอาหาร กับค่าภาษีมูลค่าเพิ่มผู้บริโภค (VAT) 7 % ซึ่งมีตัวเลขทศนิยมเศษสตางค์ไว้ด้วย แต่เมื่อนำมาคำนวณยอดรวมค่าอาหารที่ลูกค้าต้องจ่าย กลับไม่มีตัวเลขเศษสตางค์รวมอยู่ด้วย เพราะทางร้านได้ใช้วิธีการปัดเศษสตางค์ค่า VAT 7% ขึ้นไปเป็น 1 บาท (อ่านประกอบ: ร้อง 'อิศรา' ช่วยสอบร้านอาหารดังคิด VAT 7% ปัดเศษสตางค์ทศนิยมเป็น1บ. หวั่นถูกเอาเปรียบ)
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานความคืบหน้าเรื่องนี้ ว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2562 ภายหลังจากที่ได้ติดต่อไปยังบริษัทมัลลิการ์ อินเตอร์ ฟู๊ด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรากฎชื่อเป็นเจ้าของร้าน"เย็นตาโฟเครื่องทรงโดย อ.มัลลิการ์" เพื่อขอให้ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องการปัดเศษสตางค์ค่า VAT ขึ้นไปอีก 1 บาท ดังกล่าว
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีของบริษัทฯ ชี้แจงผู้สื่อข่าวว่า "ร้านอาหารของที่ร้านนั้นไม่แพงแต่อย่างใดถ้าหากเทียบกับร้านอาหารอื่นๆที่อยู่ในห้างเช่นกัน ซึ่งการดำเนินธุรกิจของร้านอาหารนั้นจะต้องเสียภาษีให้กับสรรพากร แตกต่างจากทางร้านค้าอาหารข้างทาง ที่อาจจะไม่ต้องเสียภาษีก็เป็นได้"
ส่วนกรณีที่มีลูกค้าร้องเรียนกับทางสำนักข่าวอิศราเรื่องการปัดเศษสตางค์ VAT 7 % เป็น 1 บาท นั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีบริษัทฯ ชี้แจงว่า "ตามหลักสากลแล้วกรณีภาษีมูลค่าเพิ่ม ถ้าลูกค้ากินไป 98 บาท ลูกค้าไม่ดื่มน้ำหรืออะไรเลย ถ้าคิดว่าเป็น 7% มันก็จะเป็นเงินจำนวน 104 บาท 86 สตางค์ ในกรณีที่เป็น 86 สตางค์นั้น เราไม่สามารถทอนลูกค้าด้วยเหรียญ 24 สตางค์ได้ เพราะมันไม่มีเหรียญ 24 สตางค์อยู่แล้ว ถ้าจะให้ใช้เหรียญสลึงทอนลูกค้าไปมันก็มีประเด็นยิบย่อยตามมาอีกว่าจะให้เงินเกินลูกค้าไปประมาณ 1 สตางค์ตามมา ดังนั้น เราจะยึดหลักการมาตลอดว่าถ้าเกิน 50 สตางค์ เราปัดขึ้นเป็น 1 บาท แต่ถ้าไม่ถึง 50 สตางค์ เราก็ปัดทิ้งให้โดยตลอด ซึ่งมันก็เป็นหลักสากล"
"ทางร้านก็ได้ยึดหลักจากร้านอื่นๆที่ไปสำรวจเอามาประกอบกัน ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการอธิบายให้กับทางลูกค้าฟังชัดเจนแล้วว่า ถ้าหากเกิดกรณีที่มีเศษสตางค์เกินมาแค่ไม่กี่สตางค์แต่ยังไม่ถึง 50 สตางค์นั้น ทางลูกค้าสามารถฟ้องได้ทุกกรณี"
เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีบริษัทฯ ยังชี้แจงด้วยว่า "อยากให้ทางลูกค้าเห็นใจทางบริษัทด้วยเหมือนกัน เพราะบางทีคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ไปแล้ว ทางร้านก็หาเหรียญสตางค์ทอนให้กับลูกค้าค่อนข้างจะยาก มีหลายกรณีที่ทางร้านไม่มีเหรียญทอนให้กับลูกค้า จนทำให้ต้องขอลูกค้าให้เหรียญสตางค์มา ซึ่งทางลูกค้าก็ไม่พอใจกับทางร้านอีก ทางบริษัทจึงไปปรึกษากับทางสรรพากรด้วยว่าหากจะมีการปรับเศษสตางค์ขึ้นลงนั้นสามารถทำได้หรือไม่ ก็พบว่ามันสามารถทำได้ ดังนั้น ตั้งแต่ต้นปี 2562 ที่ผ่านมา ทางบริษัทก็เลยใช้หลักนี้มาโดยตลอด ซึ่งถ้าหากทางลูกค้ารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกรณีใดก็ตาม สามารถโทรมาร้องเรียนกับทางบริษัทได้เช่นกัน" ฝ่ายบัญชีรายนี้ระบุ
อนึ่งก่อนหน้านี้แหล่งข่าวจากกรมสรรพากร ให้ความเห็นสำนักข่าวอิศราถึงเรื่องนี้ ว่า การปัดเศษสตางค์ค่า VAT ในใบเสร็จค่าอาหาร ขึ้นไปอีกหนึ่งบาท ของร้านอาหารดังกล่าว ต้องดูว่า เงินเศษสตางค์ส่วนเกินหลังปัดเศษเพิ่มขึ้นไป มีการนำส่งเป็นรายได้ให้สรรพากรทั้งหมดหรือไม่ ถ้าไม่นำส่ง คำถามคือรายได้ส่วนนี้ไปอยู่ที่ไหน ถ้าเป็นรายได้ที่นำเข้าร้านอาหารโดยตรงก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค
"นอกจากนี้ รูปแบบใบเสร็จที่ร้านอาหารออกให้ ก็มีข้อสังเกตอยู่ตรงที่ ถ้าเป็นใบเสร็จที่ออกผ่านเครื่องคิดเงินที่มีการลงทะเบียนกับกรมสรรพากร จะมีการระบุคำว่า TAX INVOICE (ABB) ไว้ด้วย จะมีการบันทึกข้อมูลไว้ให้กรมสรรพากรเข้าไปตรวจสอบข้อมูลภาษีย้อนหลังด้วย แต่ใบเสร็จของทางร้านอาหารแห่งนี้ กลับไม่พบคำว่า TAX INVOICE (ABB) ด้วย ดังนั้นจึงไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า มีการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่สรรพากรตามที่ออกใบเสร็จหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้คงจะต้องมีการเข้าไปตรวจสอบข้อมูลกันอีกครั้ง" แหล่งข่าวระบุ
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/
อ่านประกอบ:
ร้อง 'อิศรา' ช่วยสอบร้านอาหารดังคิด VAT 7% ปัดเศษสตางค์ทศนิยมเป็น1บ. หวั่นถูกเอาเปรียบ