
'พัฒนา'เผยมติ คกก.ควมคุมเหล้าไฟเขียว ปลดล็อกเวลาขาย ทำได้ แม้องค์ประชุมไม่ครบ แจงปม สธ.ไม่สนสุขภาพ เผยที่ประชุมขอมากกว่านี้ แต่ยอมให้ได้เท่านี้ หวังสร้างสมดุลเศรษฐกิจ ให้นำร่องก่อน 6 เดือน ค่อยปรับแผน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2568 นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ล้อตามคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้ปลดล็อคเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในช่วง 14:00-17.00 น. ว่า ในการประชุมและมีมติอนุญาตให้ขายเหล้าได้ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น.นั้น จะมีการทดลองดำเนินการเป็นเวลา 6 เดือน และให้คณะกรรมการ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัดดำเนินการศึกษาผลกระทบทั้งในมุมด้านสุขภาพ ผลกระทบทางสังคม ผลกระทบหรือผลบวกในเชิงเศรษฐกิจ และเสนอกลับเข้ามายังส่วนกลางว่าในแต่ละพื้นที่ผลเป็นอย่างไร มีข้อห่วงใยอย่างไร และอยากจะผลักดันอะไร ที่เป็นการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนเรื่องโซนนิ่งนั้นยืนยันว่ายังมีอยู่ ตาม พ.ร.บงควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
นายพัฒนา กล่าวถึงมติที่ประชุมที่ออกมาถูกตั้งคำถามเนื่องจากองค์ประชุมยังมีการตั้งไม่ครบว่า กฎหมายระบุเอาไว้ว่ากรรมการฯ มี 2 ส่วน คือ กรรมการที่เป็นผู้แทนโดยตำแหน่งที่กำหนดไว้ตามกฎหมายกับ กรรมการประเภทที่ 2 ที่จะต้องมีการเลือกผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างไรก็ตามพ.ร.บ.เขียนเอาไว้ชัดเจนว่า กรณีที่ยังไม่ตั้งผู้ทรงคุณวุฒิหรือตำแหน่งต่างๆ ก็ให้องค์ประชุมตามตำแหน่ง สามารถประชุมไปได้ ดังนั้นการประชุม จึงเป็นไปตามกฎหมาย
ส่วนจะถูกมองว่าเป็นการลักไก่หรือไม่เนื่องจากองค์ประชุมที่เข้าประชุมเมื่อวานเป็นระดับปลัดกระทรวง เท่านั้นยังไม่ได้มีผู้แทนจากภาคประชาชนหรือฝ่ายอื่นๆ เข้าไปร่วมพิจารณา นายพัฒนา กล่าวว่า คงไม่สามารถมองเป็นการลักไก่ได้ เพราะกฎหมายได้เปิดช่องเอาไว้ให้ดำเนินการได้ นั่นหมายความว่ากฎหมายมองเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในบางประการที่การบริหารราชการแผ่นดินจะต้องเดินหน้าต่อไปได้โดยที่ไม่ขาดความต่อเนื่อง และแน่นอนเราไม่ได้คิดว่าเราจะทำเรื่องต่างๆให้มันชักช้า อย่างที่เรียนว่าเราต้องสร้างสมดุลให้ดีระหว่างการดำเนินการทางเศรษฐกิจกับการรักษาสุขภาพของประชาชน
นายพัฒนา กล่าวตอบถึงกรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเรื่องนี้ต้องดำเนินการอย่างเร่งรีบ เหตุใดจึงไม่รอให้ตั้งองค์ประชุมครบทุกองค์ประกอบก่อน ว่า ความเร่งด่วนมีหลายแง่มุม ซึ่งที่ประชุมเมื่อวานโดยผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอว่าในช่วงนี้เป็นช่วงใกล้กับเทศกาลปีใหม่ ถัดไปก็จะเป็นสงกรานต์ พฤติกรรมของผู้บริโภค พฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ที่จะเข้ามาในช่วงนี้มีการดื่มกินกัน
ดังนั้นตรงนี้จึงต้องรีบทำให้เกิดความชัดเจนเพราะไม่ได้เกิดผลกระทบเฉพาะผู้บริโภคภายในประเทศเท่านั้น แต่มีผลกระทบสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในช่วงเวลาเหล่านั้นด้วย ซึ่งหลายๆ ประเทศก็มีความเป็นห่วงว่ากฎหมายที่มีการบังคับใช้ของไทยนั้นมีค่าปรับค่อนข้างสูง จะส่งผลกระทบต่อประชากรของเขาหรือไม่ เราจึงต้องเร่งทำความเข้าใจกับต่างชาติด้วย จึงต้องทำให้เกิดความชัดเจน และรวดเร็ว ต้องมองกว้างๆ ออกไปที่ประชาคมโลกด้วย
นายพัฒนา กล่าวถึงความกังวล หากมีการฟ้องศาลปกครองว่า จะฟ้องในมุมไหนไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าฟ้องในมุมอำนาจว่าไม่สามารถประชุมได้ ตนคิดว่าด้วยกฎหมายเขียนเอาไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า คณะองค์ประชุมเท่าที่มีสามารถเปิดประชุมได้
ในกรณีที่มีการต่อ ระยะเวลาอนุญาตให้นั่งดื่มภายในร้านได้อีก 1 ชั่วโมงหลังเวลาห้ามขายจะมีมาตรการตรวจสอบควบคุมอย่างไรว่าทางร้านจะไม่ลักไก่ขายให้อีก นายพัฒนา กล่าวว่า ยืนยันว่าระยะเวลาที่ต่อออกไปนี้ ไม่ได้ครอบคลุมถึงกรณีการขายของร้าน ในส่วนของร้านค้าเรายังอนุญาตให้ขายได้ถึงเที่ยงคืนเท่านั้น และให้สำหรับร้านค้าที่ไม่ใช่สถานบริการ ดังนั้นการขายก็ต้องจบเที่ยงคืนเหมือนเดิม แต่ประกาศที่ออกมาเป็นประกาศเพื่อปกป้องและอะลุ่มอล่วยให้กับผู้บริโภคที่อาจจะยังรับประทานไม่หมด หรือ มีภาระที่จะต้องพาตัวเองหรือเพื่อนๆ กลับบ้านจะได้มีเวลาตั้งสติ ล้างหน้าล้างตา ทำตัวให้เป็นอันตรายน้อยกว่าบุคคลอื่นที่อยู่ในสังคม ทั้งนี้หากร้านยังฝ่าฝืนที่จะขายในช่วงเวลาที่อะลุ่มอล่วยให้กับผู้บริโภคทางร้านจะมีโทษ
“ผมยืนยันว่าตรงนี้เป็นมาตรการคุมร้านค้าและเปิดช่องให้ผู้ที่นั่งดื่มสามารถมีเวลาในการปรับตัว ดังนั้นจึงแนะนำร้านค้าว่าท่านจะต้องแสดงเจตนาว่าท่านไม่ได้มีการขาย ไม่ว่าจะเป็นการหรี่ไฟลง ปิดแอร์ หรือจัดการข้าวของภายในร้าน ท่านไม่ควรทำให้หน่วยงานราชการ มองเห็นว่าท่านยังมีเจตนาชัดที่จะขายต่อ ถ้าท่านเจตนาค้าขายต่อท่านจะมีความผิด” นายพัฒนากล่าว
นายพัฒนา กล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งคำถามว่า บุคลากรมองว่า การอนุญาต ขยายระยะเวลานั่งดื่มและ ปลดล็อคเวลาห้ามขายจะทำให้เกิดอุบัติเหตุมากขึ้น การเข้าไปรักษาพยาบาลก็จะมากขึ้น ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่จะต้องกำหนดให้มีการร่วมจ่ายในกรณี เจ็บป่วยจากการดื่มแอลกอฮอล์ ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะไปพูดถึงการร่วมจ่าย แต่เราก็เฝ้าระวังตลอด ซึ่งเป็นเหตุผลที่อยากจะศึกษาประมาณ 6 เดือน ว่าอัตราการเกิดอุบัติเหตุ หรืออัตราปัญหาผลกระทบทางสังคมจะเพิ่มขึ้นอย่างไรบ้าง ตรงนี้เราทราบดีว่าในแต่ละพื้นที่มีความจำเป็น หรือมีข้อเป็นห่วงที่ไม่เหมือนกัน จึงให้คณะกรรมการระดับจังหวัดเป็นผู้เสนอขึ้นมา
นายพัฒนา กล่าวถึงประเด็นที่มีการตั้งคำถามถึงความย้อนแย้ง เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขมีการรณรงค์ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง แต่กลับอนุญาตให้มีการบริโภคและขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงก่อโรคเหล่านี้มากขึ้น ว่า ภารกิจหลักของกระทรวงสาธารณสุขยังคงเป็นการควบคุม ป้องกัน รักษาโรค ซึ่งเราต้องรักษาหลักการนี้ให้มีความแข็งแรง แต่ในขณะเดียวกันเราจะมองเฉพาะมิตินี้อย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะกระทรวงการท่องเที่ยว และกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจเขามีข้อนำเสนอออกมาต้องการทำให้ชัดเจน เป็นการปรับ ให้กฎหมายมีความร่วมสมัยมากขึ้น ชัดเจนมากขึ้น
"เราจึงต้องเอาตรงนี้มาสร้างสมดุลให้ดี ซึ่งทีแรกข้อเสนอที่เสนอมานั้น เป็นข้อเสนอขอขยายระยะเวลาซื้อ รับประทานมากกว่านี้ แต่ทางกระทรวงโดยคุณหมอ โดยกรมควบคุมโรคได้ให้เหตุผลไปแล้วว่า เพราะเหตุใดเราจึงไม่สามารถรับหรืออนุญาตไปให้ถึงตรงนั้นได้ เราคิดว่าในระดับที่เรามีมติออกมานี้เป็นระดับที่สมเหตุสมผล เหมาะสมต่อการดำเนินการศึกษาให้ชัดเจน เพื่อปรับวิธีคิดและการดูแลสุขภาพต่อไป แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ว่ากระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้รับภาระอย่างเดียว กระทรวงที่ดูแลฝ่ายปกครอง ก็ต้องช่วยเร่งรัดและเน้นย้ำในมาตรการเมาไม่ขับ ดื่มไม่ขับควบคู่กันไปด้วย" นายพัฒนา กล่าว
นายพัฒนา กล่าวถึงความกังวลเรื่องฐานเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า หากมีการมองว่ารัฐบาลชุดนี้มีการผลักดันอบายมุข ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ว่า ต้องทำความเข้าใจว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เริ่มในรัฐบาลชุดนี้ แต่เริ่ม มาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่มีการปรับปรุงและประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อต้นเดือนก.ย. 2568 และมีผลบังคับใช้ 60 วัน เลยมาตกอยู่ในช่วงจังหวะเวลานี้พอดี
"ผมกลับมองว่าช่วงเวลานี้ต่างหากหรือรัฐบาลนี้ต่างหากที่เป็นรัฐบาลที่เข้ามาสร้างความชัดเจนให้เกิดขึ้น และผลลัพธ์ต่างๆ ก็จะเอาผลการศึกษาเข้ามาวิเคราะห์มาพิจารณาอย่างเป็นธรรมและรอบด้าน ดังนั้นถ้ามองในมุมลักษณะแบบนี้จะมีความสมเหตุสมผลในการวางนโยบาย ที่รอบด้านมากกว่า" นายพัฒนา ระบุ
นายพัฒนา กล่าวถึงข้อกังวลว่าจะกระทบกับการตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็น wellness Hub หรือไม่ เพราะเป็นนโยบายที่ย้อนแย้งว่า ไม่ ตนคิดว่าเรื่อง wellness Hub เป็นเรื่องหนึ่งแต่องค์ประกอบของเรื่องนี้มีมากกว่าการดื่มหรือไม่ดื่มแอลกอฮอล์

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา