
คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีคำสั่งยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและสิทธิเลือกตั้ง - ดำเนินคดีอาญา กำพล เลิศเกียรติดำรงค์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ทุจริตเลือก สว.ปี 67 ยกคำร้องข้อกล่าวหา เป็น ‘คู่สมรสของผู้ดำรงตำแหน่งสว.’ ชี้ ปาลาวดี เนื่องจำนงค์ ผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด จ.ฉะเชิงเทรา กลุ่มที่ 14 ผู้ถูกร้องที่ 2 มิใช่คู่สมรสของนายกำพล เพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย - พ.ร.ป. สว. 2561 ไม่ได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะว่า ‘คู่สมรส’ หมายความรวมถึง ‘ผู้ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยา’ เช่นเดียวกับ พ.ร.ป. ป.ป.ช. 2561
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่คำวินิจฉัยคณะกรรมการ กกต. ที่ 580/2568 ลงวันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 มีคำสั่งให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายกำพล เลิศเกียรติดำรงค์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ผู้ถูกร้องที่ 1 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 62 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 226 และให้ดำเนินคดีอาญาแก่นายกำพล ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (1) เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนฟังได้ว่าในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัดของจังหวัดฉะเชิงเทรา นายกำพล ได้ติดต่อนายชาลี ให้ดำเนินการจัดหาบุคคลไปสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาในแต่ละกลุ่มให้ได้จำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกระดับจังหวัด 19 คนเพื่อลงคะแนนเลือกนางปาลาวดี เนื่องจำนงค์ ภรรยาของนายกำพลเป็นผู้ได้รับเลือกระดับจังหวัด
โดยนายชาลีเป็นผู้จัดเตรียมบุคคลระดับอำเภอบางคล้า โดยนายกำพลแจ้งให้นายชาลีไปดำเนินการจัดเตรียมบุคคลมาสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภากลุ่มที่ 20 อำเภอบางคล้า จำนวน 10 คน และในอำเภออื่น อำเภอละ 5 คนขึ้นไป และให้จัดเตรียมบุคคลไปสมัครรับเลือกเป็น สมาชิกวุฒิสภาในกลุ่มอื่น ๆ กลุ่มละ 5 คน เพื่อลงคะแนนเลือกผู้สมัครในกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน
นอกจากนี้ ให้กันนายชาลี เจริญสุข ผู้ถูกร้องที่ 3 พยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 1 พยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 2 พยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 5 พยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 6 และพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 7 ไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดีอาญา ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 65 และให้ยกคำร้องในข้อกล่าวหาที่ 1 ประเด็นที่ 2 และข้อกล่าวหาที่ 2
สำนักงาน กกต. เปิดเผยรายละเอียดว่า คดีนี้เป็นเป็นผลสืบเนื่องจากกรณีคณะกรรมการ กกต.ได้รับคำร้องว่า นายกำพล บุคคลซึ่งมิใช้ผู้สมัคร ผู้ถูกร้องที่ 1 น.ส.ปาลาวดี เนื่องจำนงค์ ผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มที่ 14 หมายเลข 19 ผู้ถูกร้องที่ 2 และนายชาลี เจริญสุข ผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มที่ 15 หมายเลข 3 ได้มีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561
โดยมีสาระสำคัญของคำวินิจฉัยดังนี้
ข้อกล่าวหาที่ 1 ประเด็นที่ 1 นายกำพล และผู้ถูกร้องที่ 3 จัด ทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือ จัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือ ผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจให้ผู้อื่นสมัครเข้ารับเลือกเป็น สว. หรือ ถอนการสมัคร หรือ กระทำการใดๆ อันไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ผู้นั้นหมดสิทธิที่จะเลือกหรือได้รับเลือก หรือ เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก้ผู้ใด อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (1)
กรณีจึงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายกำพลได้ก่อ สนับสนุน หรือ รู้เห็นเป็นใจกับ นายชาลี จัดหา หรือ จัดเตรียมบุคคลให้รับสมัครรับเลือกเป็น สว. และให้เงินแก่บุคคลดังกล่าวเพื่อจูงใจให้สมัครเข้ารับเลือกเป็น สว. และจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด อันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (1) ซึ่งเป็นการทุจริตการเลือก ทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 62
ขณะที่ข้อกล่าวหาที่ 1 ประเด็นที่ 2 น.ส.ปาลาวดี ยินยอมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองช่วยเหลือเพื่อให้ได้รับเลือกเป็น สว. อันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 76 วรรคสอง
เห็นว่า ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนรับฟังได้ว่า ข้อกล่าวหาที่ 1 ประเด็นที่ 2 มีข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกับข้อกล่าวหาที่ 1 ประเด็นที่ 1 ซึ่งจากการไต่สวนพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 1 ถึงคนที่ 7 ในข้อกล่าวหาที่ 1 ประเด็นที่ 1 ดังกล่าวข้างต้น ไม่มีผู้ใดให้ถ้อยคำว่า ได้รับคำสั่งให้ลงคะแนนเลือก น.ส.ปาลาวดี และไม่ปรากฏว่า นายกำพล มีการกระทำหรือพฤติการณ์ใดที่เป็นการช่วยเหลือ น.ส.ปาลาวดี เพื่อให้ได้รับเลือกเป็น สว.
อีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่ยืนยันได้ว่า มีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่า นายกำพล และน.ส.ปาลาวดี กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 76 วรรคสอง
ข้อกล่าวหาที่ 2 น.ส.ปาลาวดี สมัครรับเลือกเป็น สว. โดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือก เพราะเป็น ‘คู่สมรสของผู้ดำรงตำแหน่งสว.’ อันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 14 (25) และมาตรา 74
ผู้ร้องที่ 1 และผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้องและให้ถ้อยคำว่า ผู้ร้องที่ 1 ได้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของนายกำพล ที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยในส่วนของคู่สมรสระบุชื่อตัวและชื่อสกุลของน.ส.ปาลาวดี และข้อความว่า ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
จึงเห็นว่า น.ส.ปาลาวดี เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกเป็น สว. เพราะเป็น คู่สมรส ของผู้ดำรงตำแหน่งสว. ในคราวเดียวกัน ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 14 (25)
เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ว่า ตามเอกสารประกอบคำร้องที่ผู้ร้องที่ 1 อ้างว่า เป็นบัญชีทรัพย์สินของนายกำพล ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. โดยในส่วนของคู่สมรสระบุชื่อตัวและชื่อสกุลของน.ส.ปาลาวดี และข้อความว่า ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
จึงรับฟังได้ว่า น.ส.ปาลาวดี มิใช่คู่สมรสของนายกำพล เพราะมิได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ประกอบกับตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มิได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะว่า “คู่สมรส” หมายความรวมถึงผู้ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสเช่นเดียวกับตามที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
อีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่ยืนยันได้ว่า มีการกระทำฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่า น.ส.ปาลาวดี เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกเป็น สว. อันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 14 (25)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา