
ทัพภาค 2 สรุปสถานการณ์สู้รบกัมพูชา เผยอีกฝ่ายยิง BM-21 หลายแนวรบ พบความเคลื่อนไหวจรวด PHL-03 ออกประกาศหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน-ปชช.เตรียมพร้อมรับมือสงครามไซเบอร์ โต้ปล่อยกัมพูชาปล่อยข่าวปลอมอ้างไทยใช้อาวุธเคมี ประณามเหตุโล่มนุษย์-โฆษกกองทัพไทยโต้ โฆษกกลาโหมกัมพูชา กล่าวหาเป็นเท็จ อ้างไทยละเมิดอธิปไตย แจงข้อเท็จจริงคือ 27 ก.ค.กัมพูชาเริ่มโจมตีก่อนตั้งแต่ตีสอง ระดมยิงจรวดจน ปชช.ฝั่งไทยตาย 1
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวเกี่ยวกับสถานการ์สู้รบระหว่างไทยและกัมพูชาประจำวันที่ 28 ก.ค.ว่า
ช่วงเวลาประมาณ 15.30 น. เฟซบุ๊กกองทัพภาค 2 รายงานข่าวสรุป สถานการณ์การสู้รบ ถึงวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เวลา 12.00 น.เนื้อหาว่า
ฝ่ายกัมพูชา ระดมยิง BM-21 หลายแนวรบ โดยเฉพาะ เนิน 677, ภูผี, ผามออีแดง – พระวิหาร และภูมะเขือ นอกจากนั้นยังพบ ความเคลื่อนไหวระบบขีปนาวุธ PHL – 03 ในพื้นที่สนามบินสำโรง จ.อุดรมีชัย
ฝ่ายเรา ตอบโต้ตามระดับภัยคุกคามอย่างเท่าเทียมจนถึงการใช้อาวุธต่อเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่ช่องบก, ช่องอานม้า, ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม
เกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์ – พบกลุ่มแฮกเกอร์ชาวกัมพูชาเจาะระบบของส่วนราชการต่างๆ ผ่าน CORS / N C D C นอกจากนั้นยังตรวจพบทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิดในพื้นที่แนวหน้า ขณะที่ฝ่ายเราเข้าตรวจสอบพื้นที่เพื่อวางกำลัง
การปะทะสำคัญ ในพื้นที่ช่องอานม้า, ภูผี และภูมะเขือ ปะทะหนัก ฝ่ายไทย - ฝ่ายกัมพูชา ยิง ป., ค. ตอบโต้ตลอดคืน บาดเจ็บหลายราย
พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม - ปราสาทตาควาย ฝ่ายกัมพูชายังคงความมุ่งมั่นในการยึดรักษาและพยายามเข้าควบคุมพื้นที่ พบการรวมกำลังและเพิ่มเติมกำลังขึ้นมาจากพื้นที่ตอนในของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังปรากฏว่าฝ่ายกัมพูชา มีการยิงพลาดใส่ฝ่ายเดียวกัน ในพื้นที่ช่องอานม้าและผามออีแดง ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการที่มีการเพิ่มเติมกำลังเข้ามาหลายหน่วย ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการติดต่อสื่อสาร
27 ก.ค. 68 เวลา 16.30 น. ฝ่ายไทยได้ส่งมอบร่างผู้เสียชีวิตชาวกัมพูชา จำนวน 12 นาย ที่เสียชีวิตจากการสู้รบในพื้นที่ภูมะเขือกลับแผ่นดินเกิดตามหลักมนุษยธรรม
แนวโน้มสถานการณ์ต่อไป
- ฝ่ายกัมพูชามีแนวโน้ม ใช้อาวุธยิงระยะไกลในพื้นที่ทางลึก
- มีแนวโน้มการปะทะยังคงรุนแรง โดยเฉพาะพื้นที่ช่องอานม้า, ภูผี , ภูมะเขือ , ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย รวมทั้งต้องเฝ้าระวังภัยไซเบอร์ และการแทรกซึมของสายลับจากกัมพูชา
การอพยพประชาชน ดำเนินการสนับสนุนส่วนราชการจังหวัดในการอพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงภัย ไปยังพื้นที่รวบรวมพลเรือน พื้นที่ตอนในทั้ง 4 จังหวัด อย่างต่อเนื่อง ดังนี้ จ.บุรีรัมย์ อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 1 จุด 12,865 คน, จ.สุรินทร์ อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 92 จุด 48,438 คน, จ.ศรีสะเกษ อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 187 จุด 38,618 คน และ จ.อุบลราชธานี.อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 68 จุด 19,151 คน ปัจจุบันดำเนินการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือนแล้ว 119,072 คน (เพิ่มขึ้น 12,625 คน)
ผลกระทบต่อประชาชน พื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย บ.สายโท 8 ใต้, บ.สายโท 5 ใต้, บ.สายโท 4 ใต้ ต.จันทบเพชร และ บ.สายโท 1 เหนือ ต.บ้านกรวด อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ถูกกระสุนปืนใหญ่และ BM-21 ตก 28 ลูก ที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหาย และ บ.หนองเม็ก, บ.ภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย และเสียชีวิต 1 ราย
จิตอาสาพระราชทาน: ดูแลและช่วยเหลือประชาชน โดยจัดกำลังจิตอาสา 904, จิตอาสาพระราชทาน และ จิตอาสา เข้าอำนวยความสะดวกประชาชนในศูนย์พักพิงชั่วคราว และช่วยขนย้ายสิ่งของ รวมทั้งช่วยในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ประชาชนได้รับทราบ ในพื้นที่ 4 จังหวัด ประกอบด้วย จ.บุรีรัมย์, จ.สุรินทร์, จ.ศรีสะเกษ และ จ.อุบลราชธานี และจิตอาสา 904 จาก ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน จ.ใกล้เคียง รวมทั้งสิ้น จิตอาสา 904 129 นาย, จิตอาสาประชาชน 2,480 คน และ รด.จิตอาสา 222 นาย
การจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จ.บุรีรัมย์ มีโรงครัวพระราชทาน 1 แห่ง รถประกอบอาหาร 2 คัน และมีร้านอาหารเอกชน ที่สนามช้างอารีน่า, จ.สุรินทร์ โรงครัวพระราชทาน 3 แห่ง รถประกอบอาหาร 4 คัน จัดตั้งโรงครัวพระราชทาน ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ อ.เมือง, ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อ.เมือง และ ที่โรงเรียนโสตศึกษา อ.ปราสาท, จ.ศรีสะเกษ โรงครัวพระราชทาน 1 แห่ง รถประกอบอาหาร 3 คัน จัดตั้งที่ วิทยาลัยเทคนิคกันทรลักษ์ อ.กันทรลักษ์, และ จ.อุบลราชธานี โรงครัวพระราชทาน 1 แห่ง รถประกอบอาหาร 2 คัน จัดตั้งที่ ที่ว่าการ อ.เดชอุดม รวมข้าวที่แจกจ่าย ตั้งแต่วันที่ 24 – 28 ก.ค. 68 (153,100 กล่อง) นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ จากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง
เรื่องอื่นๆ
1. ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนก ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำส่วนราชการในพื้นที่ ติดตามข่าวสาร และการแจ้งเตือน จากช่องทางประชาสัมพันธ์ที่เป็นทางการ หรือส่วนราชการในพื้นที่ และขอความร่วมมือไม่แชร์ข้อมูลจากแหล่งที่มาข้อมูลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบยืนยันจากทางการ
2. ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีกระสุนปืนใหญ่หรือวัตถุระเบิดตกค้าง อย่าเข้าใกล้หรือเก็บไป เพราะเป็นอันตราย และเป็นหลักฐานสำคัญในกระบวนการยุติธรรมระดับนานาชาติ
@ทัพภาค 2 เตือน ปชช.รับมือสงครามไซเบอร์
ส่วนช่วงเวลาประมาณ 13.00 น.กองทัพภาค 2 ได้โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งเตือนประชาชนให้เตรียมรับมือกับสงครามไซเบอร์ ระบุเนื้อหาว่า
ตามที่ปรากฏข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์จากกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีต้นทางจากประเทศกัมพูชา โดยมีเป้าหมายมุ่งโจมตีระบบสารสนเทศของหน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศไทย ทั้งภาคราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของข้อมูล ความเชื่อมั่นของประชาชน รวมถึงเสถียรภาพในระดับประเทศ
หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเชิงรุกเพื่อตรวจสอบ ปรับปรุง และเตรียมความพร้อมในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์อย่างเป็นระบบ มาตรการสำคัญที่ควรดำเนินการโดยเร่งด่วน ดังนี้
1. ประเมินและตรวจสอบระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ภายในองค์กร สำรวจช่องโหว่ในระบบเครือข่าย ฐานข้อมูล และซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่, ตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของ Firewall, Antivirus และระบบการพิสูจน์ตัวตน (Authentication), ตรวจสอบระบบสำรองข้อมูล (Backup System) ให้สามารถกู้คืนได้ในกรณีเกิดการโจมตี
2. อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ
- ติดตั้ง Patch และอัปเดตระบบปฏิบัติการ และแอปพลิเคชันทุกตัวที่ใช้งานให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
- ปิดการทำงานของโปรแกรมหรือฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นซึ่งอาจเป็นช่องทางให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าถึง
3. กำหนดแนวปฏิบัติด้านความมั่นคงไซเบอร์
- ห้ามคลิกลิงก์จากแหล่งที่ไม่รู้จัก ห้ามใช้แฟลชไดรฟ์จากภายนอก
- ระวังอีเมล และลิงก์ต้องสงสัย ห้ามเปิดไฟล์แนบ หรือลิงก์จากผู้ส่งที่ไม่รู้จัก และตรวจสอบอีเมลให้แน่ชัดก่อนดำเนินการใดๆ
- เปลี่ยนรหัสผ่านบัญชีสำคัญอย่างสม่ำเสมอ ตั้งรหัสผ่านที่มีความยาวและความซับซ้อน
- ตรวจสอบ Log และกิจกรรมระบบที่ผิดปกติอย่างสม่ำเสมอ
4. ติดตามข่าวสาร การรายงานภัยคุกคาม และประกาศแจ้งเตือนภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เช่น
- สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.)
- ศูนย์เฝ้าระวังความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (ThaiCERT)
5. วางแผนรับมือและฟื้นฟูระบบ
- จัดทำ Cybersecurity Incident Response Plan สำหรับตอบสนองทันทีเมื่อเกิดเหตุ
- กำหนดเจ้าหน้าที่รับผิดชอบหลักในการประสานงานกับหน่วยงานภายนอก เช่น สกมช. หรือตำรวจไซเบอร์
6. ประสานความร่วมมือและแจ้งเหตุทันทีหากพบการโจมตี โดยหากพบพฤติกรรมหรือการโจมตีที่ต้องสงสัย ควรแจ้งต่อ ThaiCERT ([email protected]) โทร.0-2114-3531 หรือศูนย์รับเรื่องร้องเรียนภัยคุกคามไซเบอร์ของ สกมช. เพื่อให้สามารถดำเนินการตรวจสอบและตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทสรุป
การโจมตีทางไซเบอร์ในยุคปัจจุบันไม่ใช่เรื่องไกลตัว และอาจมีเบื้องหลังเชื่อมโยงกับความขัดแย้งด้านการเมือง ความมั่นคง หรือผลประโยชน์ระดับชาติ ดังนั้น หน่วยงานราชการและภาคเอกชนของไทยควรเร่งยกระดับความพร้อมด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ทันที เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจร้ายแรงและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศโดยรวม
“ไซเบอร์ไม่ใช่เพียงเรื่องของฝ่าย IT แต่คือภารกิจของทั้งองค์กร และประเทศชาติ”
ส่วนช่วงเวลาประมาณ 12.30 น.เฟซบุ๊กกองทัพบกก็ได้มีการโพสต์ข้อความ โดยเป็นการแชร์ข้อความจากเพจทหารอีกเพจชื่อว่า Smart Soldier Strong Army ระบุเนื้อหาต้นทางว่า กองทัพไทยไม่ได้ใช้แก๊สพิษ
แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับใช้ “ภาพตัดต่อ” เครื่องบินดับเพลิงปล่อยควันสีแดง เพื่อใส่ร้ายประเทศไทย
ภาพดังกล่าวมาจาก เครื่องบินดับไฟป่าในต่างประเทศ ถูกนำมา “บิดเบือน” ว่าเป็นอาวุธเคมีของไทย — ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย

@กองทัพไทยประณามโฆษก กห.กัมพูชาปล่อยเฟคนิวส์อ้างไทยละเมิดอธิปไตย
อนึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงเช้า พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองทัพไทย ชี้แจงและตอบโต้แถลงการณ์ของ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกลาโหมกัมพูชา ที่ได้กล่าวหาประเทศไทยว่าละเมิดอธิปไตยของกัมพูชาและเริ่มการโจมตีอย่างไร้ซึ่งข้อเท็จจริงและความรับผิดชอบ
กองทัพไทยไทยขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จและปราศจากมูลความจริงนี้ การกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นเพียงความพยายามที่น่าสิ้นหวังของฝ่ายกัมพูชา เพื่อบิดเบือนความสนใจจากความจริงที่ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นการยั่วยุและละเมิดอธิปไตยของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง กองทัพไทยมีความอดทนอดกลั้นมาโดยตลอด แต่เมื่อต้องเผชิญกับการรุกราน เรามีความชอบธรรมในการปกป้องตนเองและอธิปไตยของชาติ
ประเทศไทยขอประณามการบิดเบือนข้อมูลอย่างหน้าไม่อาย ของ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา ซึ่งเป็นการกระทำที่มุ่งสร้างความเข้าใจผิดและปลุกปั่นความขัดแย้ง พฤติการณ์ของรัฐบาลกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความไม่จริงใจในการหาทางออกอย่างสันติ
ข้อเท็จจริงคือ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เวลา 02.00 น. กองกำลังกัมพูชาได้เปิดฉากยิงปืนใหญ่บริเวณพื้นที่ ช่องจอม ซึ่งเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทย ต่อมา เวลา 04.30 น. และมีการระดมยิงอย่างหนัก ไปยังฐานที่มั่นของทหารไทยบริเวณ ปราสาทตาควาย และ ปราสาทตาเมือนธม จนกระทั่ง ในเวลา 06.40 น. มีกระสุนปืนใหญ่จากฝั่งกัมพูชา ตกใส่บ้านประชาชนใน อ.ช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ ได้รับความเสียหาย ก่อนที่กองกำลังกัมพูชาจะพยายามรุกคืบเข้ามาในเขตแดนไทยอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์ล่าสุด เวลา 17.00 น. กัมพูชาระดมยิงจรวด BM-21 เข้ามายังฝั่งไทย ตกในบ้านเรือนประชาชน ที่ อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ห่างจากพื้นที่ชายแดน 20 กิโลเมตร ส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน ซึ่งการโจมตีดังกล่าว เป็นการโจมตีต่อเป้าหมายพลเรือน ถือเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน ขาดมนุษยธรรม
การตอบโต้ของกองทัพไทยเป็นการกระทำที่จำเป็นและสมเหตุสมผลเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย การกระทำของเราสอดคล้องกับมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งรับรองสิทธิในการป้องกันตนเองของทุกประเทศ เราไม่ได้มีเจตนาที่จะยกระดับความขัดแย้ง แต่เราจะไม่ยอมให้มีการรุกล้ำอธิปไตยและกระทำการใดๆ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
ประเทศไทยยืนยันในเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเคารพในอธิปไตยของทุกประเทศ อย่างไรก็ตาม เราขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการบิดเบือนข้อมูล การยั่วยุ และการกระทำที่ผิดกฎหมายที่ละเมิดอธิปไตยของประเทศไทยทันที
กองทัพไทยเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศรับทราบถึงข้อเท็จจริง และร่วมกันเรียกร้องให้กัมพูชาปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศและยุติการรุกรานที่ผิดกฎหมาย เพื่อให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคโดยเร็วที่สุด
@ทัพภาค 2 โต้กัมพูชาโพสต์ภาพข่าวปลอมระเบิดอาคารร้าง ประณามกัมพูชาใช้โล่มนุษย์
ส่วนช่วงเวลาประมาณ 06.00 น. เฟซบุ๊กกองทัพภาค 2 ได้มีการโพสต์ข้อความเช่นกันระบุว่า
ตามที่ปรากฏข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ เหตุการณ์การระเบิดบริเวณอาคารร้างฝั่งกัมพูชาซึ่งอยู่ใกล้แนวชายแดนไทย
ฝ่ายไทยมีการตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้ตั้งอาวุธยิงสนับสนุนวิถีโค้งไว้บริเวณพื้นที่พลเรือน และสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภารกิจทางทหารในหลายพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมากัมพูชาใช้อาวุธดังกล่าวในการโจมตีพื้นที่พลเรือนของฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง นำมาซึ่งความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย อันถือเป็นการกระทำที่เข้าข่าย “ใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์” (Human Shield) ซึ่งเป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรมสากล
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 จึงขอยืนยันว่า การใช้กำลังทางทหารของกองทัพไทยมุ่งเป้าเฉพาะไปยังเป้าหมายทางทหารที่ตรวจพบว่ามีการโจมตี หรือคุกคามต่อความมั่นคงของชาติไทย เท่านั้น ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ยังคงยึดมั่นในหลักสันติวิธี การเคารพในอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน และไม่ใช้ความรุนแรงกับพลเรือนทุกกรณี แต่ต้องดำเนินมาตรการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา