
ป.ป.ช.เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา 'รุ่งรัก ลูกบัว' อดีตผอ.การศึกษา อบจ.ยโสธร ใช้รถหลวงไปตีกอล์ฟไป-กลับ บ้านพัก ล่าสุดศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนลงโทษจำคุก 105 ปี รับสารภาพเหลือโทษ 52 ปี 6 เดือน แต่ติดจริง 50 ปี นายก-รองฯ คนอนุมัติโดนด้วย คุก 12 ปี , 13 ปี ตามลำดับ ได้รอลงอาญา 2 ปี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา นายรุ่งรัก ลูกบัว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ยโสธร กับพวก นำรถยนต์ทางราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตน ในการเดินทางไป - กลับ ระหว่างบ้านและที่ทำงาน และนำรถยนต์ของทางราชการไปตีกอล์ฟ ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 157 ตาม พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบ พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 192 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษายืนตามศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ที่มีคำพิพากษาว่า นายรุ่งรัก ลูกบัว จำเลยที่ 1 จำคุก 105 ปี รับสารภาพ เหลือโทษ 52 ปี 6 เดือน แต่ตามกฎหมายลงโทษได้ไม่เกิน 50 ปี ส่วนจำเลยอีก 2 ราย นายสถิรพร นาคสุข นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ยโสธร นายพงษ์ศิริ เหมือนชาติ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ) โสธร ศาลฯ พิพากษาลงโทษจำคุก 12 ปี , 13 ปี ตามลำดับ แต่ได้รอลงอาญา 2 ปี
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมลงมติเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 มีมติเห็นชอบตามที่อัยการสูงสุด (อสส.) หารือไม่ฏีกาคำพิพากษา
สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐเทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท

ก่อนหน้านี้ สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดยโสธร แถลงข่าวว่า คดีนี้ สืบเนื่องมาจาก คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิดเรื่องกล่าวหา นายรุ่งรัก ลูกบัว ผู้อำนวยการกองการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) โสธร กับพวก คือ นายสถิรพร นาคสุข นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ยโสธร และนายพงษ์ศิริ เหมือนชาติ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ) โสธร กรณีนำรถยนต์ของทางราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตน ในการเดินทางไป - กลับ ระหว่างบ้านและที่ทำงาน และนำรถยนต์ของทางราชการไปตีกอล์ฟ อัยการสูงสุด (อสส.) โดย พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 3 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายรุ่งรัก ลูกบัว กับพวก เป็นจำเลย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 กรณีดังกล่าว
ต่อมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 โดยคำพิพากษาสรุปได้ว่า ขณะเกิดเหตุ นายรุ่งรัก ลูกบัว จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ กองการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ระดับ 8) นายสถิรพร นาคสุข จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร และ นายพงษ์ศิริ เหมือนชาติ จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่ง รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร รักษาราชการและปฏิบัติหน้าที่ราชการแทนนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร
พฤติการณ์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2557 ถึงเดือนมิถุนายน 2558 จำเลยที่ 1 ได้จัดทำใบขออนุญาตใช้รถยนต์ส่วนกลางเสนอต่อจำเลยที่ 2 นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร และเดือนกรกฎาคม 2558 ถึงเดือนมีนาคม 2559 ได้จัดทำใบขออนุญาตใช้รถยนต์ส่วนกลางเสนอต่อ จำเลยที่ 3 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธ รักษาราชการแทน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร เพื่อขออนุญาตนำรถยนต์ คันหมายเลขทะเบียน กค 7127 ยโสธร ไปจอดเก็บรักษาไว้ที่บ้านพักของตน บ้านเลขที่ 11 หมู่ที่ 3 ตำบลทรายมูล อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร และได้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวเพื่อเป็นพาหนะในการเดินทางไป - กลับ ระหว่างบ้านพักและองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร โดยไม่เคยนำรถยนต์มาจอดเก็บรักษาไว้ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธรแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ยังได้ใช้รถยนต์คันดังกล่าว ไปตีกอล์ฟที่สนามกอล์ฟกรมทหารราบที่ 16 ค่ายบดินทรเดชา
พฤติกรรมของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการเอารถยนต์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดโสธรไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบ เป็นเวลาเกือบ 2 ปี เป็นการกระทำที่ร้ายแรง
สำหรับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของทางราชการ ไปใช้ แต่ไม่ได้รู้เห็นการที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ไปใช้ส่วนตัวแต่อย่างใด จึงไม่ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
แต่การไม่ดูแลตามหน้าที่ ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ก่อให้เกิดผลเสียหายแก่การบริหารราชการแผ่นดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา