
ครม. รับทราบข้อเสนอแนะ ‘กสม.’ แก้ปัญหา ‘แม่น้ำกก-แม่น้ำสาย’ ปนเปื้อนมลพิษจากทำเหมืองแร่ ‘ทองคำ-แรร์เอิร์ธ’ ในเมียนมา ชง ‘ก.ต่างประเทศ-กลาโหม’ เจรจาประเทศต้นกำเนิดมลพิษ ยุติประกอบกิจการทำ ‘เหมือง’ โดยเร็วที่สุด
...................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา ครม.มีมติรับทราบข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจากปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามแดน กรณีการปนเปื้อนมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายจากประเทศเมียนมา ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ
พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และคณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหนือ เพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะฯ และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ภายใน 30 วัน เพื่อนำเสนอ ครม.ต่อไป
สำหรับข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจากปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามแดน กรณีการปนเปื้อนมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายจากประเทศเมียนมา มีดังนี้
มาตรการภายในประเทศ
1.ให้กรมควบคุมมลพิษ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเพิ่มความถี่ของการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในพื้นที่เสี่ยง เปิดเผยผลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมและข้อมูลความเสี่ยงต่อสุขภาพแก่สาธารณชนอย่างสม่ำเสมอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย และให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนที่เหมาะสม รวมทั้งพัฒนาระบบการเตือนภัยให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง
2.ให้กระทรวงสาธารณสุข (โดยกรมควบคุมโรค กรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด) ตรวจสุขภาพและคัดกรองโรคที่อาจเกิดจากโลหะหนัก (โดยเพาะสารหนู) ให้แก่ประชากรเสี่ยงในพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งจัดทำฐานข้อมูลสุขภาพ เพื่อติดตามผลในระยะยาวอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
3.ให้การประปาส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย เร่งจัดหาน้ำดื่มสะอาดสำรองสำหรับประชาชนในพื้นพื้นที่ประสบภัย และวางแผนระยะยาวในการจัดหาแหล่งน้ำดิบที่ปลอดภัย พร้อมทั้งพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านให้มีประสิทธิภาพและละครอบคลุม
4.ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินผลกระทบเบื้องต้นต่อภาคเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว และกำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาเฉพาะหน้าแก่ผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการปรับตัวและฟื้นฟูอาชีพแก่ผู้ได้รับผลกระทบ
5.สนับสนุนงบประมาณสำหรับการขจัดสารพิษและฟื้นฟูแหล่งน้ำที่ปนเปื้อน รวมถึงโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ และพืชพรรณริมตลิ่ง เพื่อเสริมสร้างความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ
6.ให้คณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหนือ เป็นหน่วยประสานงานหลัก และเสนอให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) แต่งตั้งหรือปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำระดับจังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีผู้แทนจากภาคประชาสังคม ภาคประชาชน นักวิชาการ และหน่วยงานภาครัฐ ในสัดส่วนที่เหมาะสมและสมดุล โดยให้คณะอนุกรรมการข้างต้นจัดทำแผนปฏิบัติการของจังหวัด โดยการมีส่วนร่วนร่วมของชุมชนตั้งแต่ระดับชุมชน ลุ่มน้ำ จนถึงระดับชาติ ตามหลักธรรมาภิบาลน้ำ (Water Governance) และดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มาตรการระหว่างประเทศ
1.ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เร่งดำเนินการเจรจากับประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ เพื่อให้ยุติการประกอบกิจการหมืองแร่ที่เป็นต้นเหตุของมลพิษโดยเร็วที่สุด โดยใช้กลไกความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาคที่มีอยู่
รวมทั้งผลักดันให้รัฐเจ้าของสัญชาติของบริษัทแม่ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสมตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UN Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGPs)
2.ให้กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผลักดันให้ประเทศในภูมิภาคกำหนดแนวทางความร่วมมือ เพื่อแก้ไขปัญหามสพิษข้ามพรมแดน ผ่านกรอบความร่วมมือต่างๆ ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิผล รวมถึงให้ประเทศในภูมิภาคพัฒนากฎหมายภายในเพื่อรองรับการจัดการ ป้องกัน และเยียวยาผลกระทบจากปัญหามลพิษข้ามพรมแดน
รายงานข่าวแจ้งว่า กสม. ระบุว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์การปนเปื้อนมลพิษในแม่น้ำกกและน้ำสายทวีความรุนแรนแรงขึ้น โดยมีสาเหตุหลักจากการทำเหมืองแร่ทองคำและและแรร์เอิร์ธของบริษัทเอกชนที่ไม่ทราบสัญชาติ บริเวณต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสายในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ในเขตปกครองของกลุ่มชาติพันธุ์ว้า มีการสกัดแร่ด้วยสารเคมีอันตราย ทำให้มีดินและกากแร่ปนเปื้อนโลหะหนัก (สารหนู แคดเมียม ปรอท) ชะล้างลงสู่แม่น้ำลายหลัก และไหลเข้าสู่ประเทศไทย ส่งผลให้คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกกและแม่น้ำสายเสื่อมโทรมโทรมลงอย่างมาก
ในขณะที่การได้รับสารหนูสะสมในร่างกายอย่างต่อเนื่องแม้ในปริมาณน้อย จะนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงทางสุขภาพ อาทิ การเกิดโรคผิวหนัง ความผิดปกติของระบประสาทส่วนปลายโรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคความตันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ภาวะความจำเสื่อม ตลอดจนส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสติปัญญาในเด็ก และเพิ่มความเสียงต่อการแท้งบุตรหรือการคลอดก่อนกำหนดในสตรีมีครรภ์
กสม. เห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลที่จะดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัยต่อสุขภาพ และมีความยั่งยืน และต่อสิทธิในการมีมาตรฐานการครองชี พที่เพียงพอ โดยเฉพาะสิทธิในอาหารและน้ำ ตามข้อ 11 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights : ICESCR) รวมทั้งต่อสิทธิในการมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์สูงสุด ตามข้อ 12 ของ ICESCR เนื่องจากการปนเปื้อนของสารพิษทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาดและอาหารที่ปลอดภัย
นอกจากนี้ สถานการณ์นี้นี่ยังซ้ำเติมและขยายความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเปราะบาง และอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ใช้น้ำในพื้นพื้นที่ หากสถานการณ์นี้ไม่ได้รับการแก้ไขโขเร่งด่วน จะส่งผลให้ต้นทุนค่าครองชีพของครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ และก่อให้เกิดภาระทางการคลังในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และดูแลสุขภาพของประชาชนในระยะยาว
อ่านประกอบ :
ชาวเชียงรายรวมตัวเดินขบวนกลางสะพานข้ามแม่น้ำกกเรียกร้องหยุดเหมืองแร่ในเมียนมา

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา