
‘สำนักงบประมาณของรัฐสภา’ วิเคราะห์ ‘ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร’ ฉบับ ‘ครม.’ ชี้ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกกับ ‘นักลงทุน’ มากกว่า ‘แรงงาน’ ระบุแม้ ‘Entertainment Complex’ จะมีศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่อาจมีผลกระทบทางลบ 5 ด้าน
...........................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงบประมาณของรัฐสภา (สงร.) หรือ PBO ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เผยแพร่เอกสาร ‘วิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569’ ทั้งนี้ จากเอกสารฯดังกล่าว สงร.ได้วิเคราะห์และตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบหลักการไปเมื่อวันที่ 27 มี.ค.2568
โดย สงร. ตั้งข้อสังเกตว่า การจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ที่มีพื้นที่กาสิโนไม่เกิน 10% ในประเทศไทยนั้น อาจมีความไม่สมดุลในการกระจายผลประโยชน์ เนื่องจากค่าจ้างและเงินเดือนมีสัดส่วนเพียง 31.3% ของมูลค่าเพิ่มทั้งหมด ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานมีสัดส่วนสูงถึง 39.8% สะท้อนว่าประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับนักลงทุนมากกว่าแรงงาน ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำ
สงร. ระบุด้วยว่า ในการจัดตั้ง Entertainment Complex นั้น ความท้าทายสำคัญของประเทศไทย คือ การสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการป้องกันผลกระทบทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาพบว่า 62.05% ของประเทศทั่วโลก มีกาสิโน แต่ไม่ใช่ทุกประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดการผลกระทบทางสังคม
ดังนั้น จึงควรศึกษาทั้งปัจจัยความสำเร็จของประเทศต้นแบบอย่างสิงคโปร์ และกรณีล้มเหลวของประเทศอื่นๆ ที่ไม่สามารถจัดการผลกระทบทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว อีกทั้งการพัฒนา Entertainment Complex ต้องมีความสมดุล ระหว่างรายได้จากกาสิโนกับกิจกรรมบันเทิงอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาธุรกิจการพนันมากเกินไป และควรมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดเพื่อป้องกันผลกระทบทางสังคม
สงร. ยังทำการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะสั้นของโครงการสถานบันเทิงครบวงจร ด้วยแบบจำลอง Input-Output พบว่า ในด้านผลกระทบต่อผลผลิตรวม (Gross Domestic Output) พบว่า ผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 182,192 ล้านบาท โดยภาคก่อสร้างได้รับผลกระทบสูงสุด (100,096 ล้านบาท) ผลิตภัณฑ์อโลหะได้รับผลกระทบรองลงมา (19,613 ล้านบาท) ตามด้วยภาคบริการ (12,570 ล้านบาท) และภาคการค้า (9,440 ล้านบาท)
ส่วนผลกระทบต่อมูลค่าเพิ่ม (Total Value Added) พบว่า มูลค่าเพิ่มรวมเพิ่มขึ้น 68,111 ล้านบาท กระจายเป็นค่าจ้างและเงินเดือน 21,384 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 27,075 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา 15,144 ล้านบาท และภาษีทางอ้อมสุทธิ 4,508 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน การลงทุนดังกล่าวอาจจะสร้างประโยชน์ระยะยาวหลายประการ เช่น การดึงดูดการลงทุนขนาดใหญ่ อย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ,การพัฒนาอุตสาหกรรม ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ ,การสร้างการจ้างงานถาวรในธุรกิจบริการและธุรกิจสนับสนุน และการเพิ่มรายได้ภาษีอย่างยั่งยืนจากการนำธุรกิจกาสิโนและการพนันเข้าสู่ระบบ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าโครงการ Entertainment Complex จะมีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่อาจมีผลกระทบทางลบที่สำคัญในหลายมิติ ดังนี้
1.ด้านสังคม อาจเกิดปัญหาพฤติกรรมติดการพนัน โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจ ซึ่งนำไปสู่หนี้สินครัวเรือนและความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงอาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การกู้เงินนอกระบบและการฟอกเงิน
2.อาจเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ เนื่องจากโครงการมักตั้งอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดการกระจุกตัวของเม็ดเงินลงทุนและบริการภาครัฐ ขณะที่ราคาที่ดินและค่าครองชีพในพื้นที่อาจเพิ่มสูงขึ้น
3.หากการกำกับดูแลไม่มีประสิทธิภาพ อาจเกิดปัญหาการทุจริต การฟอกเงิน หรือการค้ามนุษย์ รวมถึงความเสี่ยงต่อระบบการเงินภายในประเทศ
4.การเปิดกาสิโนอย่างเป็นทางการอาจกระทบต่อค่านิยมและวัฒนธรรมไทย โดยอาจส่งผลต่อค่านิยมของเยาวชนในเรื่องการแสวงหาความมั่งคั่งจากการพนัน
5.การเพิ่มขึ้นของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งผลการศึกษาชี้ว่าเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของกาสิโน โดยพบว่าร้อยละ 20 ของเยาวชนที่เล่นการพนันมีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ส่งผลให้เกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงปัญหาสุขภาพ อุบัติเหตุ และความรุนแรง ซึ่งควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบในการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ สงร.ระบุถึงสถานการณ์กาสิโนทั่วโลก ว่า Rocket Media Lab (2024) ศึกษาข้อมูลการสำรวจประเทศและเขตการปกครอง 195 แห่งทั่วโลก พบว่า 121 ประเทศทั่วโลก (คิดเป็น 62.05%) มีกาสิโนตั้งอยู่ภายในประเทศ โดยอเมริกาใต้มีสัดส่วนประเทศที่มีกาสิโนสูงที่สุดถึง 91.67% (11 จาก 12 ประเทศ) รองลงมาคืออเมริกาเหนือที่ร้อยละ 73.91 (17 จาก 23 ประเทศ) และยุโรปที่ 73.33% (33 จาก 45 ประเทศ) ในขณะที่เอเชียมีเพียง 36.73% (18 จาก 49 ประเทศ) เท่านั้น
ทั้งนี้ ปัจจัยทางศาสนาและวัฒนธรรมมีผลอย่างมากต่อการอนุญาตให้มีกาสิโน โดยประเทศที่ไม่มีกาสิโนส่วนใหญ่เป็นประเทศซึ่งประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามและอยู่ภายใต้กฎหมายชารีอะห์ ในประเทศที่มีกาสิโนมีการดำเนินกิจการที่หลากหลายรูปแบบ ประกอบด้วย
1.กาสิโน ที่เปิดให้บริการทั้งนักท่องเที่ยวและประชาชนในประเทศพบมากในยุโรปและอเมริกาเหนือ 2.กาสิโนสำหรับ นักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้นเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและรายได้จากภาษี เช่น โดมินิกัน ตูนีเซีย ซามัว และ เติร์กเมนิสถาน และ 3.กาสิโนในเขตพื้นที่เฉพาะ เช่น อินเดีย (รัฐกัว) จีน (มาเก๊า) และมาเลเซีย (เก็นติ้งไฮแลนด์)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา