
ACT ออกแถลงการณ์เผยผลสำรวจ ปชช. 98% เชื่อตึก สตง.ถล่มเอี่ยวทุจริตทั้งด้านวัสดุคุณภาพต่ำ เหล็กปลอม กำหนดแบบก่อสร้างเพื่อประโยชน์ตัวเอง รวมถึงประเด็นเงินทอน จี้ภาครัฐฟันให้ถึงตัวใหญ่ ด้านประธาน ACT ชี้ที่ผ่านมามีระบบหักหัวคิวผู้รับเหมา 30% จ่ายให้ จนท.รัฐ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวว่าเมื่อวันที่ 11 เม.ย. องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกเอกสารข่าวแจกระบุความเห็นส่วนมากของประชาชนกรณีตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มว่ามาจากการทุจริต และระบุว่างบประมาณก่อสร้างภาครัฐร้อยละ 20-30 อาจหายไปเข้าสู่กระเป๋าคนบางกลุ่ม โดยเนื้อหาแถลงการณ์ระบุว่า
นายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT กล่าวว่า จากผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนผ่านระบบ D-vote หัวข้อ “คุณคิดว่าเหตุการณ์อาคาร สตง. แห่งใหม่ถล่ม เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันหรือไม่? ” ซึ่งเปิดให้ประชาชนโหวตระหว่างวันที่ 7-10 เมษายน 2568 โดยได้ผลสำรวจเบื้องต้นจากกลุ่มตัวอย่างกระจายทุกช่วงอายุและภูมิภาคจำนวน 182 ตัวอย่าง ค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 87.0
พบว่าร้อยละ 98 ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าเหตุการณ์อาคาร สตง.ถล่มเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชัน
เมื่อถามเจาะลึกถึงสาเหตุตึกถล่ม ประชาชน ชี้ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ คอร์รัปชันของผู้เกี่ยวข้อง การใช้วัสดุคุณภาพต่ำ เช่น เหล็กปลอม และกำหนดแบบก่อสร้างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น ต้องการเงินทอน สำหรับการลงโทษผู้กระทำผิด ประชาชนจี้รัฐ “ฟันให้ถึงตัวใหญ่” ไม่ใช่แค่โยนแพะ
โดยเสียงส่วนใหญ่ ไม่ต้องการให้แค่หาผู้รับเหมากลับมารับผิด แต่เรียกร้องให้ดำเนินคดี “ผู้มีอำนาจ” ที่อยู่เบื้องหลัง รวมทั้งเสนอให้แบล็กลิสต์ บริษัทรับเหมาที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ห้ามรับงานรัฐอีกตลอดชีวิต และจำคุกตลอดชีวิตผู้เกี่ยวข้องกับคอร์รัปชันโดยไม่ลดหย่อนโทษ
ส่วนแนวทางแก้ไขไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยตึกถล่มเสียงจากประชาชนเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่สำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
1. ปรับปรุงกฎหมายให้เข้มงวด บังคับให้ทุกโครงการต้องมีกระบวนการตรวจสอบคอร์รัปชัน ทั้ง ตรวจสอบผู้รับเหมา ผู้ควบคุมงาน ตรวจรับวัสดุ
2. บังคับใช้กฎหมายปราบคอร์รัปชันด้วยบทลงโทษเด็ดขาดรุนแรงถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต
3. รัฐต้องปรับปรุงระบบข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างให้ประชาชนตรวจสอบอย่างโปร่งใส
4. ให้ทุกโครงการเมกะโปรเจกต์ (มูลค่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป) ต้องผ่านข้อตกลงคุณธรรม ให้ประชาชนร่วมสังเกตการณ์ตั้งแต่ต้น
“โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐ หรือโครงการร่วมลงทุนภาครัฐกับเอกชน เป็นโครงการที่ใช้งบลงทุนสูงเป็นเป้าหมายของคนโกง โดยอาศัยช่องทางตามระเบียบ ดูเผินๆเหมือนถูกต้องตามระเบียบทุกประการ แต่กลับมีช่องพลิกแพลงให้คอร์รัปชันหลากหลายเทคนิค เช่น การล็อคสเปค เพื่อให้เฉพาะบริษัทบางรายเท่านั้นที่ผ่านคุณสมบัติ การฮั้วประมูล โดยตกลงราคาล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ชนะได้งาน ส่วนผู้แพ้ได้ “ค่าตอบแทน” การแบ่งสัญญา ล่วงหน้าตาม “คิว” ผู้รับเหมาที่ต้องได้รับงาน รวมถึงการหักหัวคิว หรือเงินทอน ร้อยละ 20 - 30 ของมูลค่างาน เพื่อจ่ายให้เจ้าหน้าที่หรือผู้มีอำนาจเอื้อประโยชน์ ที่ผ่านมาพบว่า 3 ขั้วอำนาจที่ร่วมมือกันแนบแน่น ทำให้คอร์รัปชันดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง คือ ข้าราชการ นักการเมือง และนายทุน ข้าราชการที่รู้เห็นแต่เงียบเฉย ก็ถือว่ามีส่วนร่วมเช่นกัน “นายมานะกล่าวและกล่าวต่อว่างบประมาณงานก่อสร้างภาครัฐแต่ละปี มีมูลค่ารวมกว่า 780,000 ล้านบาท หากคอร์รัปชันเฉือนหัวคิวไปร้อยละ 30 จะคิดเป็นเงินสูงถึงกว่า 200,000 ล้านบาท ที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจเข้าสู่กระเป๋าคนบางกลุ่ม
ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าวทิ้งท้ายในที่สุดว่า คอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และการนิ่งเฉยคือการสมรู้ร่วมคิด สื่อมวลชนและภาคประชาชนมีบทบาทสำคัญในการกดดันให้เกิด การเปลี่ยนแปลง
“เราต้องไม่แค่เรียกร้องให้รัฐโปร่งใส แต่ต้องปฏิเสธคอร์รัปชันทุกรูปแบบ หยุดระบบฮั้ว หัวคิว เงินทอน และรวมพลังประชาชนลุกขึ้นสู้ เพื่อเปลี่ยนประเทศของเรา” นายมานะกล่าว



Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา