“พิพัฒน์” ยืนยัน ก.แรงงานไม่นิ่งนอนใจ แต่ต้องค่อยๆพิจารณาปมขึ้นค่าแรง 400 บาท เหตุเพราะอาจกระทบผู้ประกอบการรายย่อย แจงชุดเฉพาะกิจพร้อมตรวจสอบหลัง ปชน.แฉแรงงายจีนไร้ใบอนุญาตแย่งงานคนไทย ยืนยันสอบเหตุกองทุนประกันสังคมใช้เงิน 7 พันล้านซื้อตึกเก่าไม่มีมวยล้มต้มคนดูแน่นอน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ในระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ให้สัมภาษณ์ในหลายประเด็นเกี่ยวข้องกับการอภิปราย โดยกล่าวว่าในประเด็นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำนั้นทางกระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่าง ย้อนไปเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ได้มีการเชิญคณะกรรมการไตรภาคีเข้ามาหารือแล้วว่ามีการจะประกาศค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท จะพิจารณากันอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่กังวลก็คือว่าถ้าประกาศทุกอาชีพขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวน 5.8 ล้านราย จะสามารถพยุงตัวได้หรือไม่ นี่เป็นประเด็นที่ต้องวิเคราะห์กัน ซึ่งเรื่องนี้จะมีการประชุมกันโดยมีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานในที่ประชุมในเดือน เม.ย.ที่จะถึงนี้ ดังนั้นขอย้ำว่ากระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด
“หากว่าสามารถผลักเศรษฐกิจให้เติบโตได้ถึง 3 % ภายในปี 2568 เราก็จะมีการพิจารณาในเรื่องของการเพิ่มการขึ้นค่าแรงอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าวันแรงงานที่กำลังจะมาถึงเราก็กำลังคิดเป็นการบ้านว่าจะเอาอะไรเป็นของขวัญวันแรงงาน” นายพิพัฒน์กล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวถึงกรณีที่ สส.พรรคประชาชนอภิปรายถึงแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะแรงงานจีนที่มาแย่งงานแรงงานไทย โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงแรงงานตรวจสอบแล้วพบว่าปัจจุบันมีแรงงานจีนทั้งหมดที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมการจัดหางานประมาณห้าหมื่นกว่าคน ในส่วนของบีโอไอหรือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มีผู้ได้รับใบอนุญาตอยู่ที่ประมาณสองหมื่นกว่าคน นอกเหนือจากบีโอไออีกประมาณสามหมื่นกว่าคนเศษ ซึ่งกรมการจัดหางานก็ได้มีการตรวจสอบและหลังจากที่ สส.พรรคประชาชนได้เอาภาพต่างๆมาฉาย ก็จะมีการใช้ชุดเฉพาะกิจตรวจสอบว่าแรงงานเหล่านี้เข้ามาทำงานถูกต้องหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่ถูกต้องตามบีโอไอก็จะต้องมีการดำเนินการจับและปรับต่อไป
นายพิพัฒน์กล่าวต่อไปว่าสำหรับข้อกล่าวหาการแย่งงานจากคนไทยนั้น ต้องขอเรียนว่าอาชีพสงวนคนไทยนั้นมีประมาณ 40 อาชีพ ซึ่งตอนนี้ชุดเฉพาะกิจกรมแรงงาน รวมไปถึงชุดเฉพาะกิจส่วนตัวตน พวกเรามีการออกตรวจและมีการจับแรงงานต่างด้าวโดยตลอด ดังนั้นย้ำอีกว่ากระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องเหล่านี้เลย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวต่อถึงเรื่องที่พรรคฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องเกี่ยวกับกองทุนประกันสังคมนำเงินไปซื้อตึกเก่า ขอยืนยันว่า การตรวจสอบเรื่องนี้ไม่มีมวยล้มต้มคนดูแน่นอน ซึ่งขณะนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งต้องรอคำตอบออกมา ตนไม่สามารถก้าวล่วง แต่ส่วนประเด็นที่ตนให้ความสำคัญ คือ การบริหารกองทุนประกันสังคมใน 30 ปีข้างหน้า เพื่อไม่ให้มีการล้มละลาย ภายหลังที่มีสถาบันต่างๆ ออกมาประเมิน
"หากไม่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการหาผลประโยชน์ก็อาจจะล้มละลายในปี 2597 ได้ แต่ตนขอแจ้งความคืบหน้าในปี 2566 ได้ดอกผลจากการลงทุนร้อยละ 3.1 ในปี 2567 ได้ดอกผลร้อยละ 5.34 เป็นเกณฑ์ที่ตนตั้งเป้าหมายไว้ ที่จะต้องได้ดอกผลร้อยละ 5 ขึ้นไป แต่จะทำให้ได้ผลร้อยละ 5 ตลอด 30 ปี ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งจะต้องมีการลงทุนให้รอบคอบ ทั้งลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปลัดกระทรวงแรงงานจะมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญต่างๆ มาทำการวิเคราะห์ เพื่อให้ได้ดอกผลตามเป้าหมาย" นายพิพัฒน์กล่าว
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ร้อยละ 60 ของกองทุนเราลงทุนเรื่องที่มีความเสี่ยงต่ำ จึงมีดอกผลน้อย ส่วนร้อยละ 40 จะต้องหาลงทุนและหาวิธีถ่วงดุลอย่างไรเพื่อดึงในส่วนของร้อยละ 60 เพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยร้อยละ 5 ของปี ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เราหนักใจจึงต้องทำงานให้เกิดความรอบคอบ