“สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล” สส.ปชน.แฉโครงสร้างทุนจีนกลางสภา ใช้หลายวิธีทำผู้ประกอบการไทยอยู่ไม่ได้พร้อมกับกว้านซื้อที่ในพื้นที่ EEC หลายจังหวัดภาคตะวันออก เผยมีการใช้นอมินีคนไทยอายุแค่ยี่สิบกว่าเข้าตั้งบริษัทก่อนให้คนไทยลงนามในเอกสารมอบฉันทะ ชี้ต้นเหตุจากนโยบายฟรีวีซ่าไร้การกำกับดูแลจนทำไทยเป็น “แดนศูนย์เหรียญ” แฉอีกนโยบายฟรีวีซ่าทำทุนจีนใช้นอมินีแห่ซื้อบ้านในหมู่บ้านหรูแถวกรุงเทพกรีฑา หลังละ 50-100 ล้าน ขายหมดเดือนเดียว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ในระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจตอนหนึ่ง นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชนได้แถลงข่าวปัญหาทุนจีนถือครองที่ดินและธุรกิจในประเทศไทย โดยนายสิทธิพลกล่าวว่าปัญหาของการบริหารของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ส่วนหนึ่งก็คือว่าทำให้โอกาสของการเป็นผู้ประกอบการสำหรับคนรุ่นใหม่นั้นมีความยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากว่าพยายามจะเปิดร้านแต่ก็ถูกทุนต่างชาติตีกิจการ
“เมื่อถามไปที่กระทรวงแรงงานเกี่ยวกับข้อมูลคนงานจีนใน 3 จังหวัดทั้งใน จ.ชลบุรี จ.ระยอง และ จ.ฉะเชิงเทรา ได้คำตอบว่ามีคนจีนประมาณ 9,000 คน ผมเอาตัวเลขไปคุยกับหอการค้าจังหวัด คุยกับประชาชนในพื้นที่ ทุกคนส่ายหัวเลย อะไรจะน้อยขนาดนั้น เมื่อถามว่าได้ไปตรวจหรือไม่ว่ามีแรงงานจีนผิดกฎหมายเท่าไร ปีที่แล้ว 5 มิ.ย. 67 - 22 ม.ค. 68 หรือครึ่งปีหลัง เจอแรงงานจีนผิดกฎหมายในพื้นที่ 3 จังหวัดนี้แค่ 2 คน ที่ฉะเชิงเทรา 2 คน ที่ระยอง 0 คน ที่ชลบุรี 0 คน น้อยอย่างไม่น่าเชื่อ” นายสิทธิพลกล่าว
สส.พรรคประชาชนกล่าวต่อว่ายกตัวอย่างเช่นกรณีที่คนต่างชาตินั้นถือครองกิจการ เข้ามาแย่งงานคนไทย เช่นที่ต่างจังหวัดก็มีการขึ้นป้ายขายที่ดินภาษาจีนเต็มไปหมด ทั้งการขาย ซื้อ เช่าที่ดิน ทั้งใน จ.ชลบุรี ระยอง และกรุงเทพ โดยส่วนตัวได้มีการสำรวจพื้นที่โครงการจำนวน 4 โครงการในจังหวัดเหล่านี้พบว่ามีคนจีนรวมทั้งสิ้น 15,000-16,000 คน คำถามคือคนจีนเหล่านี้อยู่ได้อย่างไร ทำไมตัวเลขจึงต่างจากตัวเลขคนงานจีนที่กระทรวงแรงงานเก็บได้ ที่สำคัญคนเหล่านี้เข้ามาแย่งทำอาชีพที่สงวนสำหรับคนไทยตามกฎหมายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะกรรมกร ก่อสร้าง ขับรถ หรือเร่ขายสินค้า
สส.พรรคประชาชนกล่าวต่อไปว่ากลุ่มทุนจีนยังมีการซื้อที่ทำบ้านจัดสรร ซื้อที่ปลูกทุเรียน ซื้อที่โดยมีนอมินีเป็นคนไทย หรือที่เป็นเป็นข่าวว่ากลุ่มทุนจีนซื้อที่ที่ชลบุรีนับร้อยไร่ด้วยเงินสดเพื่อตั้งโรงงาน ในวันนี้ทุนจีนซื้อที่ดินในไทยด้วยหลายวิธี เช่นการตั้งบริษัทนอมินีมาซื้อที่ เช่นที่ดิน อ.ชะอำ โดยลักษณะของบริษัทนี้ทุนจีนจะถือหุ้น 48% คนไทยอีกสองคนถือหุ้นคนละ 26% จะเห็นได้ว่าการทำแบบนี้เพื่อให้ทุนจีนยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และยังบอกได้ว่าตัวเองเป็นบริษัทไทย อย่างไรก็ตามถ้าไปดูที่คนไทยสองคนที่ถือหุ้นคนละ 26 % จะเห็นได้ว่าเป็นคนที่อายุน้อยแค่ 20 กว่าปี ก็น่าสงสัยว่าเอาเงินมาจากไหน และก็มีกรณีที่ชาวจีนได้ให้คนไทยลงนามในเอกสารมอบฉันทะให้คนจีน เพื่อให้คนจีนมีอำนาจทำทุกอย่างแทนในบริษัท เช่นการแต่งตั้ง ถอดถอน ลงรายมือชื่อ ลดทุน เพิ่มทุนบริษัทต่างๆรวมถึงการจ่ายเงินปันผล ซึ่งแบบนี้ถ้าไม่เรียกที่ดินนี้ว่าที่ดินจีนก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร
สส.พรรคประชาชนกล่าวต่อไปว่าต้นตอสำคัญของเรื่องนี้ที่ประชาชนตั้งคำถามคือ มาตรการ Visa Free ของนายกรัฐมนตรี จะบอกว่าไม่รู้ไม่ได้ สำนักข่าวไปสัมภาษณ์คนไทยในบริษัทคนจีนที่คนงานในบริษัทมีพฤติกรรม “เวียนเทียนวีซ่า” เข้าออกประเทศ อยู่ครบกำหนด 60 วัน 90 วัน ก็เวียนออกแล้วกลับมาใหม่ ขบวนการนี้มีค่าใช้จ่ายหัวละ 3,000 บาท เราเรียกขบวนการนี้ว่า Visa Run คือเข้าออกเวียนเทียนวีซ่า ข้อมูลที่หน่วยงานรัฐให้ในกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ ประเมินว่ามีคนจีนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ 20,000-30,000 คน นายกฯ ปล่อยปละละเลยให้เกิดเรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร
“ต้องบอกว่าความจริงแล้วนโยบาย Visa Free ไม่ได้แย่ การหานักท่องเที่ยวเข้าประเทศไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือออกนโยบายมาแล้ว ไม่กำกับดูแลให้เคร่งครัด คนที่ท่านให้เข้ามา ได้ไปดูหรือไม่ว่าเขานำ Visa Free ไปทำอะไร วันนี้เขาเอาไปทำงาน แย่งงานคนไทย และเป็นแรงงานผิดกฎหมาย” นายสิทธิผลกล่าว
สส.พรรคประชาชนกล่าวอีกว่านอกจากนี้ ธุรกิจต่างชาติกำลังรุกคืบมาทำลายธุรกิจไทย กินรวบตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตัวอย่างในวงการอสังหาริมทรัพย์ คนในวงการบอกว่ากำลังเจอ “อสังหา 0 เหรียญ” คือการที่ผู้ประกอบการต่างชาติ เข้ามาทำธุรกิจสร้างบ้าน แต่ขนวัสดุทุกอย่างเข้ามาเองทั้งหมด ยังไม่นับคนงานที่ใช้คนงานสัญชาติประเทศตัวเอง ต้องตั้งคำถามว่าบ้านหนึ่งหลัง ประโยชน์ตกอยู่กับเศรษฐกิจไทยกี่บาท ปัจจุบันผู้ประกอบการบอกว่ายิ่งแย่ เพราะผู้ประกอบการต่างชาติใช้ระบบน็อคดาวน์ ความจำเป็นในการใช้วัสดุในประเทศยิ่งน้อยลง รัฐบาลจะบอกไม่รู้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ เพราะข่าวออกกันมากมาย
“ถ้าในร้าน ในโรงงาน ใช้แต่คนงานต่างชาติ สุดท้ายมีอะไรตกถึงเราบ้าง เศรษฐกิจไทยได้ประโยชน์อะไร ตอบได้ว่าเป็น 0 ตรงกันข้ามกับพวกเขาที่หากำไรแบบผิดๆ ในประเทศเราทุกวัน” นายสิทธิพลกล่าวพร้อมทั้งยกตัวเลขการเพิ่มขึ้นของร้านอาหารจีนปี 2567 ร้านอาหารจดทะเบียนตั้งใหม่ 8,119 ราย เป็นทุนจดทะเบียนของนักลงทุนจีนมากกว่าครึ่ง ยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ผู้ประกอบการไทยจะค้าขายลำบาก บางครั้งไม่ใช่เพราะไม่เก่ง ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจไม่ดี แต่เพราะคู่แข่งที่กำลังเผชิญนั้นมีจำนวนมากและมีพฤติกรรมกินรวบ
สส.พรรคประชาชนกล่าวว่าสิ่งที่ร้ายที่สุด คือนายกรัฐมนตรี กำลังปล่อยให้เขา (คนจีน)ครอบครองที่ดินได้ ถ้าพูดในเชิงเศรษฐกิจ เรากำลังสูญเสียทรัพยากรที่มีจำกัด เสียแล้วเสียเลย ยากที่จะแก้ไขกลับคืนได้ในอนาคต เราเห็นข่าวทุนจีนกว้านซื้อที่ดิน ครอบครองที่ดินเต็มไปหมด นายกฯ จะบอกว่าไม่รู้ไม่ได้ เราพบว่าทุนเทาเหล่านี้มีการครอบครองที่ดินหลายแบบ
“ไม่ว่าจะเป็นตั้งบริษัทนอมินีมาซื้อที่ดิน หรือเปลี่ยนประธานมูลนิธิ จากคนไทยเป็นคนจีน มูลนิธิเหล่านี้มีสินทรัพย์ อาคารบ้านเรือน รวมถึงที่ดินได้ ความเจ๋งของเรื่องนี้คือ ได้ที่ดินโดยไม่ต้องจ่ายค่าโอนค่าภาษีอะไรเลย ในขณะที่คนไทยจำนวนมากยังไม่มีที่อยู่ที่ทำกิน มีปัญหาเอกสารสิทธิ์ ประชาชนโดนรัฐฟ้องร้องไล่ที่ รัฐบาลปล่อยปละละเลยให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร” นายสิทธิผลกล่าว
สส.พรรคประชาชนกล่าวต่อไปว่าอีกตัวอย่างในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจหรือ EEC จ.ระยอง วันนี้ธุรกิจชุมชน ร้านค้าของคนไทยรายเล็กรายน้อยแทบอยู่ไม่ได้ คนจีนเมื่อเข้ามาจำนวนมากก็เปิดกิจการ ขายอาหารสด ขายของชำ คาราโอเกะ สถานบันเทิง จากตอนแรกที่เราบอกว่าจะชวนเขามาลงทุน มาสร้างโรงงาน แต่วันนี้นอกจากทุนที่มานั้นไม่จ้างงานคนไทย จ้างแต่คนจีน ซึ่งส่วนใหญ่ผิดกฎหมาย ยังขนมาทั้งห่วงโซ่อุปทาน ไม่ใช้วัสดุ วัตถุดิบในประเทศ แข่งกับธุรกิจไทยในทุกอุตสาหกรรม ขยายไปในระดับธุรกิจชุมชน และถ้าเจาะลึกของที่ขายในร้าน ซึ่งของที่มีการขายที่ร้านจะพบว่าเป็นของนำเข้าแบบผิดกฎหมาย ไม่มีทั้งมาตรฐานองค์การอาหารและยา (อย.) ไม่มีทั้งมาตรฐานองค์การอุตสาหกรรม (มอก.)
นายสิทธิพลกล่าวว่าดังนั้นภายใต้การบริหารประเทศของนายกฯ แพทองธาร ประเทศไม่ได้อะไรเลย มีอย่างเดียวที่เราได้ คือบรรดาคนไทยสีเทาทั้งหลายที่หากินกับขบวนการเหล่านี้ ทั้งขบวนการหากินกับคนจีนให้สามารถใช้ Free Visa ทำงานในประเทศไทยได้ อำนวยความสะดวกให้เกิดสถานการณ์ Visa Run หรือกระทั่งการตรวจแล้วไม่พบคนงานจีนที่ผิดกฎหมาย
สส.พรรคประชาชนกล่าวว่าถ้าไร้การกำกับดูแลที่ดี นักลงทุนจีนดีๆ ก้าวหน้า แม้จะมี แต่ก็จะไม่อยากมาไทย เหลือแต่นักลงทุนที่ยอมจ่ายเงินเพื่อทำผิดมาตรฐาน ไม่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่ใส่ใจเรื่องขยะ ไม่สนใจคุณภาพชีวิตแรงงาน ขบวนการทุนต่างชาติสีเทาเหล่านี้ ตนยืนยันว่าไม่สามารถอยู่ได้
"วันนี้พอมีวีซ่าฟรีเกิดขึ้นก็ทำให้มีแรงจูงใจที่ลูกค้าต้องการซื้อคอนโดผ่านนอมินีคนไทยมากขึ้น ทั้งหมดนี้คือกระบวนการใช้ไทยเป็นที่ทำมาหากิน หรืออย่างเรื่องซื้อบ้าน ต่างชาติอยากซื้อก็ใช้นอมินีตั้งนิติบุคคลมาซื้อ การมีวีซ่าฟรีก็ทำให้ความต้องการซื้อคอนโด ซื้อบ้านเพิ่มมากขึ้น" นายสิทธิพลกล่าว
นายสิทธิพลยังได้กล่าวถึงกรณีหมู่บ้านหรูแห่งหนึ่งแทบกรุงเทพกรีฑา ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่หลังละ 50-100 ล้านบาท คนในหมู่บ้านทนไม่ได้ เขารู้ว่าคนในคณะกรรมาธิกรเศรษฐกิจและสังคมเขาติดตามเรื่องนี้ เขาส่งรายชื่อลูกบ้านในหมู่บ้านมาให้ 40 หลัง หรือประมาณครึ่งหมู่บ้าน ผมลองเอาชื่อลูกบ้านจำนวน 40 หลังดังกล่าว ไปค้นพบว่าชื่อผู้ซื้อบ้านในหมู่บ้านซึ่งส่วนมากเป้นบริษัทนั้นมีผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ซื้อบ้านประมาณ 20 หลัง พบว่าเป็นนิติบุคคลที่คนจีนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เช่น 49% และมีคนไทยถือหุ้น 51% ส่วนอีก 20 หลังที่เหลือชื่อผู้ถือหุ้นเป็นคนไทยหมด แต่ว่าชื่อผู้ถือหุ้นคนไทยที่ว่ามานี้ไปตรงกับ 20 หลังแรก หรือก็คือชื่อคนไทยในบริษัทนั้นเวียนไปเวียนมา ซึ่งเข้าข่ายว่าเป็นนอมินีนั่นเอง
“ถ้าเอาเกณฑ์การเล่นแร่แปรธาตุที่ให้คนต่างชาติสวมเสื้อคลุมว่าเป็นคนไทย นี่ถือว่าเข้าข่ายเป็นนอมินี ย้ำว่าบ้านหลังละ 50 ล้านบาทขายหมดภายในเดือนเดียว พอมาประกอบเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน ประชาชนเขาเลยสงสัยว่าหรือว่านายกรัฐมนตรีนั้นอยากช่วยให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ขายบ้าน ขายคอนโดได้ เรียกว่าหลับตาข้างหนึ่ง ให้ซื้อง่าย ใครก็ได้ นอมินีช่างมัน ใส่เสื้อคลุมเป็นบริษัทไทย ก็พอ ส่วนวีซ่าฟรีก็กลายเป็นช่วยหาลูกค้าให้เขาทางอ้อม อยากเรียนนายกฯว่าถ้าท่านไม่เชื่อลองไปดูก็ได้ เอาแค่บริษัทอสังหาฯที่ท่านเคยเป็นผู้บริหารหรือถือหุ้นโครงการเยอะดี และก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร นายกฯจากพรรคเพื่อไทยชอบขายบ้านมาก่อน” สส.พรรคประชาชนกล่าว
“จึงขอสรุปว่านายกฯ ปล่อยปละละเลยอย่างร้ายแรง ทำร้ายเศรษฐกิจไทยแบบไม่มีวันหวนกลับ เปลี่ยนประเทศไทยเป็น “ดินแดนศูนย์เหรียญ” ทำลายทั้งงาน ทำลายทั้งธุรกิจ ทำลายทั้งชุมชน นายกฯ อ้างว่าไม่รู้ไม่ทราบไม่ได้ เพราะสถานการณ์ลุกลามบานปลาย คนในพื้นที่รู้ดี ข่าวออกทุกวัน ตนจึงไม่อาจไว้วางใจให้แพทองธาร ชินวัตร บริหารราชการแผ่นดินได้อีกต่อไป” นายสิทธิผลกล่าวทิ้งท้าย