ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ ยกเหตุผลแรงกดดันจากปักกิ่ง-บางประเทศอาเซียนสนับสนุนบทบาททักษิณ ทำไทยเดินหน้าเจรจากองทัพเมียนมาต่อไปได้แม้มีประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน ชี้มีลูกชายรัฐมนตรีไทยทำธุรกิจเอี่ยวกองทัพเมียนมา ขณะตัวทักษิณเองก็หวังผลประโยชน์โครงการที่ทวาย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวเกี่ยวกับกรณีการแต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีและประธานอาเซียน โดยนายพอล แชมเบอร์ส นักรัฐศาสตร์จากสหรัฐอเมริกา อาจารย์และที่ปรึกษาพิเศษด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้กล่าวถึงกรณีนี้เอาไว้ตอนหนึ่งว่าแม้ไทยพยายามจะเดินหน้าแผนฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน แต่ผลประโยชน์ของไทยที่มีในเมียนมาทำให้ไม่เต็มใจที่จะสนับแผนฉันทามติ 5 ข้อดังกล่าวนี้นัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ไทยมีนักลงทุนเป็นลำดับต้นๆในเมียนมา และเป็นคู่ค้าที่สำคัญ ความเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่ว่ามานี้กับกองทัพเมียนมาจึงทำให้เป็นการยากที่ไทยจะเป็นผู้สนับสนุนสันติภาพในเมียนมา
อย่างไรก็ตามแม้จะมีประเด็นเรื่องความมีส่วนได้ส่วนเสีย แต่ก็มีเหตุผลสองประการที่การเจรจาคู่ขนานซึ่งไทยเป็นผู้ส่งเสริมนั้นสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ได้แก่
1.รัฐบาลปักกิ่งสนับสนุนไทยอย่างมากในการเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลทหารเมียนมาและกลุ่มติดอาวุธ จีนซึ่งมองว่าประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องการปกป้องผลประโยชน์ของจีนในชายแดนระหว่างเมียนมาและไทย ผลประโยชน์เหล่านี้รวมถึงการเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของจีน การปกป้องพลเมือง และการขยายผลประโยชน์ทางทหาร
รัฐบาลจีนสนับสนุนสันติภาพในเมียนมาเพื่อปกป้องโครงการ Belt and Road Initiative รวมถึงท่อส่งน้ำมันและก๊าซเมียนมา-จีน โดยประเทศไทยได้กลายเป็นส่วนที่ไปข้องเกี่ยวกับขบวนการคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดนมาระยะหนึ่ง
ในท้ายที่สุด จีนได้กดดันให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยและนายทักษิณ ให้บังคับให้ พ.อ.ซอว์ ชิต ตู่ (Saw Chit Thu) หัวหน้ากองกําลังรักษาชายแดนกะเหรี่ยงหรือ BGFให้ปลดปล่อยเหยื่อผู้ใช้แรงงานในขบวนการคอลเซ็นเตอร์หลายพันคนได้เป็นผลสำเร็จ โดยเน้นที่เหยื่อที่มาจากจีน
รัฐบาลจีนยังใช้การปราบปรามคอลเซ็นเตอร์เป็นข้ออ้างในการขยายขอบเขตความปลอดภัยในต่างประเทศ โดยได้จัดตั้งศูนย์บังคับใช้กฎหมายร่วมกันในประเทศไทยและเมียนมา
ประการที่สอง การที่มาเลเซียเข้ารับตําแหน่งประธานอาเซียนและการที่นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แต่งตั้งนายทักษิณเป็นที่ปรึกษาพิเศษด้านกิจการของกลุ่มอาเซียนในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนบางส่วนอย่างไม่เป็นทางการโดยผู้นําประเทศอาเซียนบางประเทศที่สนับสนุนบทบาทของนายทักษิณ (มาเลเซียและอาจเป็นบรูไน) อย่างไรก็ตามกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธหรือ EAO ของเมียนมาและรัฐบาลเงา NUG ของเมียนมา ไม่ยอมรับนายทักษิณให้เป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง ยิ่งไปกว่านั้น เป็นที่น่าสงสัยว่ามาเลเซียมีอิทธิพลต่อ EAO มากน้อยเพียงใด
ยังคงต้องรอดูว่าความพยายามไกล่เกลี่ยของไทยในเมียนมาจะบรรลุผลได้หรือไม่ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเองก็ให้ความสําคัญกับผลประโยชน์ของกลุ่มอาเซียนมากกว่าผลประโยชน์ทวิภาคีของไทย
แต่ต้องยอมรับว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของไทยส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเมียนมาชอบสถานะการทำธุรกิจตามปกติกับกองทัพเมียนมา ณ เวลานี้ โดยธนาคารใหญ่ห้าแห่งของไทยและบริษัทไทยขนาดใหญ่หลายแห่งมีผลประโยชน์สนับสนุนกองทัพเมียนมา
สำหรับตัวนายทักษิณเองก็แสวงหาผลประโยชน์ในท่าเรือทวายที่เมียนมา และมีความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทหารระดับอาวุโสของเมียนมา ในโครงการด้านเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าลูกชายของรัฐมนตรีคนหนึ่งของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร (ขอสงวนชื่อ-สำนักข่าวอิศรา) พบว่าเป็นกรรมการบริษัทชื่อว่าบริษัทหลั่งแสง (Hlaing Sang Company) โดยบริษัทนี้เกี่ยวข้องกับกองทัพเมียนมา ส่วนตัวของ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดไทยก็ไปนั่งบอร์ดรัฐวิสาหกิจบางจาก ที่มีความร่วมมือกับกองทัพเมียนมาด้วยเช่นกัน
เรียบเรียงจาก:https://fulcrum.sg/thailands-unreliability-as-broker-makes-peace-even-more-elusive-in-myanmar/