เผยมติ ก.ต.สั่งตั้งคกก.สอบวินัยร้ายแรง อธิบดี-รองฯ ผู้พิพากษาเอื้อปย.คู่ความศึกฟ้องร้องตระกูลนักธุรกิจดัง -อีกรายโดนภาคทัณฑ์ กรณีให้คำปรึกษาคดีความพฤติการณ์เกินเลยความเหมาะสมข้าราชการตุลาการควรพึงกระทำได้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2568 สำนักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ได้เผยแพร่มติที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ครั้งที่ 4/2568 2 วาระสำคัญ คือ
1. พิจารณารายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงข้าราชการตุลาการ กรณีให้คำปรึกษาคดีความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งพฤติการณ์เกินเลยไปกว่าการให้คำปรึกษาคดีความโดยทั่วไป และเกินความเหมาะสมที่ข้าราชการตุลาการควรพึงกระทำได้ ทั้งไปร่วมนั่งพิจารณาคดีโดยไกล่เกลี่ยคู่ความอันอาจทำให้คู่ความอีกฝ่ายสงสัยในความเป็นกลาง อันเป็นการไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนและประเพณีปฏิบัติของทางราชการและจริยธรรมของข้าราชการตุลาการ ตามที่ ก.ต. กำหนด ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 มาตรา 62 และประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการ ข้อ 31 วรรคสอง เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง เห็นควรลงโทษภาคทัณฑ์
2. พิจารณารายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม มีมติเห็นว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 2 ราย มีมูลเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
รายงานข่าวแจ้งว่า ข้าราชการตุลาการรายที่ถูกลงโทษภาคทัณฑ์ กรณีให้คำปรึกษาคดีความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งพฤติการณ์เกินเลยไปกว่าการให้คำปรึกษาคดีความโดยทั่วไป เป็นระดับอธิบดีผู้พิพากษาภาค ปัจจุบันเป็น ผู้พิพากษาอาวุโส
ส่วนข้าราชการตุลาการรายที่ถูกชี้มูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง เป็นระดับอธิบดีและรองอธิบดีผู้พิพากษาปัจจุบันย้ายออกจากศาลดังกล่าวแล้ว มูลเหตุสำคัญมาจากการถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยเหตุผลและหลักการของกฎหมาย เอื้อประโยชน์ให้แก่คู่ความฝ่ายตรงข้าม ในคดีฟ้องร้องกันเองของคนในครอบครัวนักธุรกิจตระกูลดัง ซึ่งมีการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565 โดยมีการกล่าวอ้างว่าข้าราชการตุลาการระดับอธิบดี มีความสนิทสนมกับคู่ความฝ่ายตรงข้าม เดินทางเข้าออกบ้านคู่ความฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่การกระทำโดยปกติของตุลาการที่จะเข้าไปข้องแวะหรือสนิทสนมกับคู่ความในคดี ขณะที่กระบวนการพิจารณาคดีมีความล่าช้า ส่งผลเสียหายทางธุรกิจ ได้รับผลกระทบจากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามจ่ายเงินปันผลหุ้น จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลานานกว่า 5 ปี