‘สภาผู้บริโภค’ ยื่นหนังสืออุทธรณ์ต่อ ‘กกพ.’ ขอให้ยกเลิกประกาศรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 2.1 พันเมกะวัตต์ ชี้เปิดช่องใช้ดุลพินิจ-ไม่เปิดให้มีการแข่งขัน
....................................
จากกรณีเมื่อวันที่ 27 ก.ย.2567 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ออก “ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567” รวม 2,180 เมกะวัตต์ (MW) โดยให้สิทธิ์กับกลุ่มผู้ประกอบการ 198 ราย ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกในรอบแรกตามประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 เท่านั้น ที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ นั้น
เมื่อวันที่ 27 ต.ค. น.ส.รสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) กล่าวว่า วันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคได้ยื่นหนังสือขออุทธรณ์ประกาศฉบับดังกล่าวต่อ กกพ. เนื่องจากการออกประกาศเพิ่มเติมปี 2567 ยังอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่ไม่ใช้วิธีการแข่งขันทางด้านราคาซึ่งถูกกำหนดมาตั้งแต่ปี 2565 โดยให้สิทธิเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายชื่อเดิมที่เคยยื่นเสนอขายไฟฟ้าตามประกาศรับซื้อไฟฟ้าในรอบปี 2565 จำนวน 198 รายเท่านั้น แต่ไม่ได้รับคัดเลือกและไม่เปิดโอกาสให้ผู้สนใจรายอื่นเข้าร่วมโครงการได้
นอกจากนี้ ประกาศฯดังกล่าวยังอยู่บนพื้นฐานแนวคิดที่ไม่สนใจการรับฟังเสียงร้องเรียนจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ และเกณฑ์การพิจารณาที่ขาดความโปร่งใส ไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ในการให้คะแนนที่ใช้ในการคำนวนผู้คัดเลือกก่อนเลยตั้งแต่ในรอบปี 2565 ทำให้เปิดช่องให้มีการใช้ดุลพินิจได้กว้างขวางในการคัดเลือกว่าเอกชนรายใดจะได้รับคัดเลือกหรือไม่คัดเลือก
“การให้สิทธิ์ขายไฟฟ้าแก่ผู้ประกอบการทั้ง 198 รายนั้น ไม่ใช้วิธีการแข่งขันทางด้านราคา แต่ราคาซื้อนั้นไฟฟ้าถูกกำหนด และห้ามไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขตั้งแต่ปี 2565 ในสมัยรัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ประเด็นสำคัญ คือ ไม่เคยมีการนำเรื่องเข้าที่ประชุม กพช. ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบันเป็นประธาน กพช. เพื่อให้นายกรัฐมนตรี ได้รับแต่อย่างใด ทั้งๆที่ น.ส.แพทองธาร แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 ก.ย.2567 และประกาศฉบับดังกล่าวออกเมื่อวันที่ 27 ก.ย.2567” น.ส.รสนากล่าว
น.ส.รสนา กล่าวว่า การออกประกาศเพิ่มเติมปี 2567 ของ กกพ. เป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาฯ ว่า “รัฐบาลจะยึดมั่นในหลักนิติธรรมและความโปร่งใส สร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งยังขัดต่อ พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ต้องการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการพลังงานและป้องกันการใช้อำนาจในทางมิชอบ การไม่เปิดให้มีการแข่งขัน การล็อกราคา ล็อกบริษัทที่เข้าร่วมเสนอโครงการ การใช้หลักเกณฑ์คัดเลือกที่ขาดความโปร่งใส” จึงทำให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าไม่สามารถที่จะได้ราคาค่าไฟฟ้าที่ต่ำลงได้อีกจากประกาศฉบับนี้
“ด้วยเหตุนี้ สภาผู้บริโภคจึงทำหนังสือขออุทธรณ์และขอให้ยกเลิกประกาศฉบับนดังกล่าว และหาก กกพ. จะเดินหน้าดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าตามประกาศฉบับนี้ต่อไป ก็อาจถือได้ว่า กกพ. มีเจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใช้พลังงาน และขอเสนอแนะว่า การดำเนินการเพื่อการรับซื้อไฟฟ้ารอบใหม่ให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส ภายใต้หลักการการส่งเสริมการแข่งขัน รัฐบาลควรดำเนินการภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ปี 2561-2580 (PDP 2024) ที่อยู่ระหว่างการจัดทำ เพื่อให้เกิดความชอบธรรม เหมาะสมกับภาวการณ์ปัจจุบัน และเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาจะเป็นการดีที่สุด” น.ส.รสนา กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ด้สั่งการให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพิ่มเติม 3,600 MW แล้ว โดยการรับซื้อไฟฟ้าในส่วนแรก 2,100 MW นั้น จะต้องเปิดประมูลเป็นการทั่วไป ไม่ใช่ให้สิทธิกับผู้ที่พลาดจากการประมูลไฟฟ้า 5,000 MW ในรอบที่แล้วเท่านั้น ส่วนการรับซื้อไฟฟ้าล็อตถัดไปอีก 1,400-1,500 MW นั้น จะต้อง Open-Bid หรือต้องเปิดประมูลทั่วไปเช่นกัน
อ่านประกอบ :
‘พีระพันธุ์’สั่งทบทวนหลักเกณฑ์เปิดประมูล‘ไฟฟ้าพลังงานสะอาด’ 3,600 MW
นโยบายมีปัญหา! สตง.ชำแหละโครงสร้างราคาไฟฟ้า 'ต้นตอ' สาเหตุคนไทยเสียค่าไฟแพง
'พรรคประชาชน'จี้‘รบ.แพทองธาร’ยกเลิกรับซื้อไฟฟ้า 3.6 พันเมกฯ ชี้'ปชช.'จ่ายแพงเกินจริงแสนล.