เผยความคืบหน้าผลักดัน 'ราเกซ สักเสนา' นักโทษคดีทุจริตบีบีซีเสียหายพันล้านออกนอกประเทศ หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ ล่าสุด ตร.สอบสวนกลางโชว์ภาพรับตัว ผลตรวจร่างกายผ่าน แพทย์ลงความเห็นสามารถเดินทางได้ ไม่ต้องเข้ารักษาตัวรพ. เหตุส่งไปอินเดีย เพราะมีสัญชาติประสานสถานฑูตตามขั้นตอนให้ความช่วยเหลือเอกสารการเดินทางกรอบระยะเวลา
จากกรณีปรากฏข่าว เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ได้ไปรับตัวนายราเกซ สักเสนา (Rakesh Saxena) สัญชาติอินเดีย ผู้ต้องขังในคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ (บีบีซี) ออกจากเรือนจำ และนำตัวไปพักรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากมีอาการป่วย และเตรียมผลักดันออกนอกประเทศ โดยเตรียมจะผลักดันไปประเทศอินเดีย หลัง นายราเกซ ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา
ล่าสุดมีรายงานข่าวจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้รับแจ้งจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ว่า นายราเกซ ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จะได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 9 กันยายน 2567
เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม การกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้ดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อไปรับตัวนายราเกซ ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แต่เนื่องจากนายราเกซ มีโรคประจำตัว คือโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่สามารถเดินได้ และมีอายุมาก มีความเสี่ยงต้องอยู่ในความดูแลของผู้มีความรู้ทางการแพทย์ ทางญาติ และโรงพยาบาล จึงแนะนำให้ทางเจ้าหน้าที่ ประสานขอรถที่มีเครื่องมือทางการแพทย์ในการเคลื่อนย้ายตัวนายราเกซ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ประสานรถมูลนิธิและทำการเคลื่อนย้ายตัว
โดยได้นำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจเพื่อตรวจร่างกาย ว่ามีความพร้อมในการเดินทางหรือไม่ โดยผลการตรวจร่างกาย แพทย์มีความเห็นว่า สามารถเดินทางได้ และไม่ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล จึงได้ส่งตัวให้ยัง กองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) เพื่อดำเนินการผลักดันออกนอกประเทศตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ต่อไป
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ยังระบุว่า ได้จับกุม/รับตัว นายราเกซ อายุ 72 ปี ผู้ต้องขัง คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 4138/2559 ความผิดฐานพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ โดยจับกุม/รับตัว ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แขวงคันนายาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2567
ทั้งนี้เมื่อระหว่างปี 2537-2539 ขณะนายราเกซ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ (บีบีซี) โดยกระทำการทุจริตปล่อยวงเงินสินเชื่อเกินบัญชีกว่า 30 ล้านบาท กับเอกชน ร่วม 10 แห่ง โดยไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อ หรือคณะกรรมการบริหารธนาคารบีบีซีก่อน และได้ปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ขอกู้ โดยไม่มีหลักประกัน ตลอดจนไม่วิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้ และความสามารถในการจ่ายหนี้คืน
อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นเหตุให้ธนาคารบีบีซี ได้รับความเสียหาย ร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ดำเนินคดีกับ นายราเกซ ในความผิดฐานพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ จนนำไปสู่การออกหมายจับหลังเกิดเหตุนายราเกซหลบหนีไปยังประเทศแคนาดาเป็นเวลา 13 ปี
ต่อมาถูกส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับไทย ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาเมื่อปี 2555 จำคุกนายราเกซ 10 ปี และต่อสู้คดีเรื่อยมา กระทั่งคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 335 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุก 20 ปี และสั่งคืนเงินผู้เสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท
ด้านแหล่งข่าว สตม. ระบุว่า ตำรวจกก.5 บก.ปอศ. ได้นำตัวนายราเกซไปยังห้องกักสวนพลู ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) เพื่อดำเนินการผลักดันออกนอกประเทศตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ทันทีที่ นายราเกช มาถึงตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้ทำการรับตัว พร้อมกับประสานแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพร่างกายของนายราเกช ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการการรับตัวตามกฏหมาย
อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลักดันส่งตัวนั้นเป็นขั้นตอนของสถานฑูต โดยกรณีนายราเกชพบว่ามีสัญชาติอินเดีย ซึ่งขั้นตอนจากนี้เป็นขั้นตอนของสถานเอกอัครราชฑูตอินเดียประจำประเทศไทยว่าจะดำเนินการช่วยเหลืออย่างไร ทั้งในเรื่องของเอกสารการเดินทาง รวมทั้งกรอบระยะเวลาผลักดัน เป็นต้น
รายงานข่าวแจ้งว่า ทาง ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองอยู่ระหว่างการรอผลตรวจร่างกายของนายราเกชจากแพทย์ เนื่องจากพบว่าเจ้าตัวมีปัญหาสุขภาพอีกทั้งมีอายุมาก เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาว่าระหว่างถูกคุมตัวที่ห้องกักจะต้องเข้ารับการรักษาและพบแพทย์หรือไม่ ซึ่งเป็นหลักปฎิบัติตามสิทธิมนุษยชน