เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา 'บงกช ต่ายทอง' อดีตนายกเทศมนตรีหนองพยอม พิจิตร จัดทำเอกสารเท็จเบียดบังเงินสนับสนุนจากสนง.สลากกินแบ่งรัฐบาลจัดงานประเพณีกำฟ้าไทยพวน ปี 54 ล่าสุด ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบภาค 6 พิพากษาลงโทษ จำคุก2 ปี 6 เดือน พวก 1 ราย โดน 1 ปี 8 เดือน ได้รอลงอาญาหลังรับสารภาพ - ป.ป.ช.เห็นควรอุทธรณ์สู้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา นางบงกช ต่ายทอง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีหนองพยอม อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร กับพวก คือ นางอนัตดา ต่ายทอง จัดทำเอกสารเป็นเท็จแล้ว เบียดบังเงินหรือทรัพย์สินที่ได้
จากการสนับสนุน จากสำนักงานสลากกินแบ่ง รัฐบาลในโครงการจัดงานประเพณีกำฟ้าไทยพวน ครั้งที่ 32 ประจำปี 2554 ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157, 151 และ 86 พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช.พ.ศ.2561 มาตรา 172) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 มี.ค.2565
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2567 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 มีคำพิพากษาว่า นางบงกช ต่ายทอง จำเลยที่ 1 และ นางอนัตดา ต่ายทอง จำเลยที่ 2 ทำผิดกฎหมาย
ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปีและปรับ 24,000 บาท
ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี 4 เดือน และปรับ 16,000 บาท
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตาม ปอ.ม.78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน และปรับ 12,000 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 8 เดือน และปรับ 8,000 บาท
รอลงอาญาโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2567 เห็นควรที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลดังกล่าว ในประเด็นรอการลงโทษจำเลยทั้งสอง
สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
มาตรา 157 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ