เผยมติ ป.ป.ช. ตีตกคดี 'เขมชาติ นิธิวรรณ' ประธานสภาเทศบาลนครพิษณุโลก ร่ำรวยผิดปกติ ไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีเงินฝากธนาคาร หลังอ้างหลักแหล่งแห่งที่มารายการเงินฝากได้ตามสมควร การเดินบัญชีเป็นไปตามปกติวิสัยการประกอบธุรกิจ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตีตกข้อกล่าวหา นายเขมชาติ นิธิวรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาเทศบาลนครพิษณุโลก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานสภาเทศบาลนครพิษณุโลก ร่ำรวยผิดปกติหรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่
หลังพิจารณาแล้วว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป อ้างหลักแหล่งแห่งที่มารายการเงินฝากได้ตามสมควร การเดินบัญชีเป็นไปตามปกติวิสัยการประกอบธุรกิจ
สำนักงาน ป.ป.ช. ระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำผิดโดยสรุป ว่า ผู้ถูกกล่าวหา ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาเทศบาลนครพิษณุโลก มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2550 ยื่นบัญชีฯ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2550 พ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2554 ยื่นบัญชีฯ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 และพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2555 ยื่นบัญชีฯ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 จากการตรวจสอบในช่วงระหว่างพ้นจากตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี พบว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เลขที่บัญชี XXX ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และบัญชีดังกล่าวมีรายการเดินบัญชีผิดปกติ จึงเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติหรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่
ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า จากข้อเท็จจริงที่ได้ตามทางไต่สวน พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาอ้างหลักแหล่งแห่งที่มาของรายการเงินฝาก คือ บัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เลขที่บัญชี XXX ได้ตามสมควร ซึ่งสอดรับกับเอกสารหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน ว่า ยอดเงินฝากดังกล่าวมีที่มาจากการประกอบธุรกิจ และประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาเทศบาลนครพิษณุโลก ซึ่งทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ มิได้มีอำนาจสั่ง อนุญาต และอนุมัติเกี่ยวกับราชการของเทศบาล กรณีจึงมิใช่การได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติ ตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่
อีกทั้งการเดินบัญชีดังกล่าวก็เป็นไปตามปกติวิสัยของการประกอบธุรกิจ ที่จะปรากฏรายการฝากเงินและรายการถอนเงินหลายรายการต่อเนื่องกัน ไม่ปรากฏพยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่ารายการเคลื่อนไหวทางบัญชีมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะมิได้แสดงบัญชีเงินฝากดังกล่าวต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการดำเนินการกับผู้ถูกกล่าวหา กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 34 และมาตรา 119 เฉพาะกรณี พ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ซึ่งยังไม่ขาดอายุความ
โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม. 106/2561 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 207/2561 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 แล้ว ประกอบกับในการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำแหน่งกับบัญชีที่ได้ยื่นไว้กรณีเข้ารับตำแหน่ง ปรากฏว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นสุทธิ 835,592.76 บาท โดยรายการเงินฝากเพิ่มขึ้นเพียง 35,592.76 บาท ส่วนผลการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีกับบัญชีที่ได้ยื่นไว้กรณีเข้ารับตำแหน่ง ปรากฏว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นสุทธิ 850,158.98 บาท เป็นรายการเงินฝากเพิ่มขึ้น 50,158.98 บาท ส่วนที่เพิ่มขึ้น 800,000 บาท ทั้งสองกรณี เป็นรายการโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 1 หลัง ซึ่งต่อเติมจากโรงรถเดิม โดยใช้เงินต่อเติมทั้งหมด 300,000 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้ถูกกล่าวหา เห็นว่าทรัพย์สินไม่เพิ่มขึ้นผิดปกติ
กรณีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติหรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป