สธ.เวียดนามออกแถลงการณ์แจงตอนนี้ไม่มีผลข้างเคียงลิ่มเลือดจากวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว อ้างข้อมูล WHO ยืนยันวัคซีนมีประสิทธิภาพ เผยขณะนี้ไม่มีวัคซีนเหลือแล้ว ขณะเว็บไซต์แอสตร้าเซนเนก้าเผยเวียดนามใช้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าผลิตจากโรงงานในประเทศไทย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวเกี่ยวกับความกังวลเรื่องผลข้างเคียงการใช้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่เกิดขึ้นในต่างประเทศว่าเมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขของเวียดนามได้ออกแถลงข่าวตอนหนึ่งมีใจความว่า
วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นหนึ่งในวัคซีนโควิด-19 14 ชนิดที่องค์การอนามัยโลก (WHO) อนุมัติการใช้ในกรณีฉุกเฉินครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 และสํานักงานยาแห่งยุโรป (EMA) ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนนี้ในยุโรปตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2564
นอกจากนี้ วัคซีนดังกล่าวยังเป็นหนึ่งในวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ถูกนำไปใช้ในกลุ่มประชากรมากที่สุดในโลก โดยมีการใช้ในกรณีฉุกเฉินในกว่า 170 ประเทศ มีการฉีดไปแล้วกว่า 2 พันล้านโดสทั่วโลก
ในความเป็นจริงวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการป่วยที่รุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตเนื่องจากไวรัสโคโรนา การวิเคราะห์ฐานข้อมูลจากการค้นหาและกระบวนการติดตามหลังการฉีดวัคซีนพบว่าวัคซีนโควิด-19 ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสําหรับคนทุกวัย
ผลการทดลองทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของวัคซีนเพื่อต่อต้านการติดเชื้อ SARS-CoV-2 สูงถึง 74 เปอร์เซ็นต์ และยังไม่มีการบันทึกกรณีที่รุนแรงหรือวิกฤติกับผู้ที่ได้รับวัคซีน
WHO แนะนําว่าการใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้านั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสําหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
เกี่ยวกับผลข้างเคียงที่หายากที่เรียกว่าการเกิดลิ่มเลือดอุดตันด้วยภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (TTS) เนื่องจากวัคซีนป้องกันโควิด-19 แอสตร้าเซนเนก้านั้น สถิติจากสหราชอาณาจักรและยุโรปแสดงให้เห็นว่าผู้ใหญ่ 1 ใน 100,000 คนมีความเสี่ยงที่จะเป็นมีอาการ TTS ภายใน 3 วันถึง 21 วันหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน และมีเพียงไม่กี่รายที่ได้รับผลข้างเคียงหลังจากฉีดวัคซีน 42 วัน
ในทางกลับกันการวิจัยแสดงให้เห็นว่าอัตราของภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่เกิดจากภูมิคุ้มกันที่เกิดหลังจากการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าต่ำกว่าอัตราเกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่พบในกรณีหลังการติดเชื้อโควิด-19
ทั้ง WHO และ EMA ยืนยันว่าประโยชน์ต่อสุขภาพของการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสต้าเซนเนก้ามีมากกว่าความเสี่ยงอย่างมาก
สําหรับการใช้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในการป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ที่เวียดนาม กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า วัคซีนดังกล่าวได้รับใบอนุญาตขึ้นทะเบียนหมุนเวียนทั่วประเทศในการต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
นอกจากนี้ยังเป็นวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตัวแรกที่เวียดนามนําเข้ามาฉีดวัคซีนตามขั้นตอนและข้อกําหนดที่เข้มงวดของกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนแผนงานของ WHO และจากประสบการณ์ในกระบวนการฉีดวัคซีนก่อนหน้านี้ของประเทศที่ก้าวหน้าทั่วโลก
จนถึงขณะนี้ เวียดนามได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 มากกว่า 266 ล้านโดสให้กับผู้ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป ในจํานวนนี้เป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 70 ล้านโดสที่ถูกใช้สําหรับการฉีดวัคซีนโดสเริ่มต้นและบูสเตอร์โดสสําหรับบุคคลที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
กระทรวงสาธารณสุขเวียดนามแนะนําว่าความเชื่อมโยงระหว่างการเกิดลิ่มเลือดอุดตันกับกลุ่มอาการเกล็ดเลือดต่ำกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นผลข้างเคียงที่หายากและจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจากได้รับการฉีดวัคซีนเท่านั้น
ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 ประเทศเวียดนามไม่มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเหลืออยู่แล้ว ดังนั้นความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า หลังจากได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทยาของอังกฤษจึงไม่มีอยู่อีกต่อไป
สำนักข่าวอิศรารายงานเพิ่มเติมว่าสำหรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่มีการใช้ในประเทศเวียดนามนั้น ข้อมูลจากเว็บไซต์ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าพบว่าวัคซีนดังกล่าวถูกผลิตขึ้นที่โรงงานในประเทศไทย (ไม่ระบุว่าวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าทั้งหมดในเวียดนามผลิตจากไทยหรือไม่) ได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2565 โดยมีบริษัทผู้นำเข้าได้แก่บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เวียดนาม (ดูภาพประกอบ)
เรียบเรียงจาก:https://www.astrazeneca.com/content/dam/azcovid/pdf/vietnam/HCP-leaflet-SBS-ENG.pdf,https://en.sggp.org.vn/there-is-no-longer-risk-of-astrazeneca-vaccine-induced-immune-tts-ministry-post109867.html