วงเสวนาชี้ทัศนคติสังคมไทยต่อ LGBTQIAN+ ยังย้อนแย้ง แม้กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านสภา แนะมองมนุษย์เท่ากัน-ความหลากหลายเป็นเรื่องปกติ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2567 คณะผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารยุทธศาสตร์การสื่อสารมวลชนระดับสูง (บยสส.) รุ่นที่ 3 จึงร่วมกับสถาบันอิศรา จัดงานสัมมนาสาธารณะในหัวข้อ 'สื่อสารอย่างไรให้เท่าเทียม: สิทธิของ LGBTQIAN+ กับการเปิดรับของสังคม'
ด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างพื้นที่ให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศได้สื่อสารสะท้อนตัวตนสู่สาธารณะผ่านสื่อแขนงต่าง ๆ โดยสร้างความเข้าใจให้แก่สังคมว่าความหลากหลายทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย เคารพในความแตกต่างหลากหลาย และส่งเสริมสังคมที่ทุกคนมีศักดิ์ศรีและสิทธิอันเท่าเทียมกัน
พินิจ จารุสมบัติ ประธาน บยสส. รุ่นที่ 3 เปิดเผยว่า แม้ประเทศไทย จะเปิดรับความหลากหลายทางเพศ และมีความก้าวหน้าในแง่กฎหมายและการยอมรับสิทธิ ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก แต่ก็ยังพบว่ามีการเลือกปฏิบัติและความเหลื่อมล้ำในหลาย ๆ เรื่อง เช่น การถูกปฏิเสธโอกาสในการทำงาน ไม่ได้รับการดูแลด้านการรักษาพยาบาลอย่างเหมาะสม การถูกกีดกันจากสิทธิสวัสดิการจากรัฐ และการเป็นเหยื่ออาชญากรรมจากความเกลียดชัง
การจัดงานสัมมนาสาธารณะในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศได้สะท้อนความคิดและมุมมองสู่สาธารณะ เพื่อให้สังคมไทยรวมถึงสื่อมวลชนรวมมีความรู้ความเข้าใจต่อประเด็นความหลากหลายทางเพศ ในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับทุกคน
“การเคารพในความหลากหลาย เป็นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ที่จะต้องให้ความเคารพ ลดความขัดแย้ง ลดปัญหา ความเหลื่อมล้ำและการเลือกปฏิบัติ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และหวังว่าการสัมมนาจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยต่อไป” พินิจ กล่าว
ด้าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ผู้อำนวยการหลักสูตรฯ กล่าวว่า สถาบันอิศรา และผู้เข้าร่วมอบรมฯ เล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเสริมสร้างความเข้าใจ ในภาคประชาชน เพื่อให้ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศได้รับสิทธิที่เท่าเทียมและเป็นที่ยอมรับ ได้รับโอกาสและการปฏิบัติอย่างเหมาะสมเท่าเทียม อันจะนำไปสู่สังคมที่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันก็จะช่วยปลดล็อกศักยภาพของกลุ่ม LGBTQIA+ เกิดเป็นพลังบวกร่วมกันสร้างสรรค์สังคมต่อไป
โดยสถาบันอิศรา มีพันธกิจด้านหนึ่งคือการจัดอบรมวิชาชีพด้านสื่อมวลชน มีเป้าหมายเพื่อปรับเปลี่ยนชุดความคิดและวิธีการพัฒนากระบวนการเพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มผู้บริหารองค์กรด้านสื่อ ภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ ให้เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ในวงเสวนา ได้มีตัวแทนกลุ่มหลากหลายทางเพศทั้งภาคประชาสังคม ศิลปิน และนักแสดง ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ณชเล บุญญาภิสมภาร รองประธานมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกระเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ได้มีโอกาสทำงานกับครอบครัวที่มีบุตรหลานหลากหลายเพศ พบว่าพ่อแม่มักมีความรู้สึกว่าตนเองทำอะไรผิด ถึงมีลูกเป็น LGBTQIAN+ จึงต้องทำอย่างไรให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านั้นไปได้ ในเวลาเดียวกันลูกก็จะรู้สึกว่าตนเองต้องทำเกินกว่าคนอื่น ๆ เพื่อให้ได้รับการยอมรับ ทั้งที่การได้รับความรักเป็นเรื่องพื้นฐานของครอบครัว จึงทำคู่มือชื่อ 'บ้านนี้มีความหลากหลาย' เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจสำหรับครอบครัวที่มีบุตรหลานหลากหลายเพศ
"สำหรับเรื่องการสื่อสารอย่างไรให้เท่าเทียมนั้น สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คือต้องไม่ตั้งสมมุติฐานว่า 'ทุกคนจะเหมือนเรา' ต้องมีทัศนคติว่าคนมีความแตกต่าง มีความเฉพาะและมีชีวิตของตัวเอง การสื่อสารก็จะเป็นการสื่อสารด้วยความเคารพ เช่น เราเป็นผู้หญิงข้ามเพศ ก็ควรถามเราว่าอยากให้เรียกว่าอะไร บางคนยังไม่เปลี่ยนชื่อ ชื่อยังเป็นผู้ชายก็อาจไม่อยากให้เรียกชื่อนั้นก็ได้ เป็นต้น" ณชเล กล่าว
ณชเล กล่าวอีกว่า สื่อต้องเรียนรู้ความแตกต่างหลากหลาย อย่าใช้คำนี้ไปครอบทุกอย่าง และต้องเห็นความหลากหลายเรื่องคนข้ามเพศ ที่ไม่ได้มีแค่ผู้หญิง ผู้ชาย แต่มี non-binary ด้วย เป็นเรื่องที่เราต้องรู้เท่าทัน เพราะโลกเดินมาไกลมาก
เช่นเดียวกับ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล และผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง เปิดเผยว่า การสื่อสารอย่างเท่าเทียมและความเปลี่ยนแปลงจะเกิดได้จริง จะต้องเปลี่ยนที่ทัศนคติของคนในสังคม โดยเฉพาะในสถาบันการศึกษา ซึ่งเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดในการสร้างความเข้าใจเรื่องความเท่าเทียมในสังคมไทย โดยเฉพาะผู้ใหญ่อย่างครูที่จะต้องเปิดกว้างกับนักเรียนด้วยความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์
"แม้ว่าปัจจุบันนี้ ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่ผลักดันมาตั้งแต่ตอนที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะผ่านความเห็นชอบและเตรียมเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาภายในระยะเวลารวดเร็วกว่าที่คาดไว้ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความเข้าใจแก่สังคมให้มองว่ามนุษย์เท่ากัน เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่เราทุกคนควรได้แต่กำเนิด ซึ่งจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมาจากการหล่อหลอมของสถาบันการศึกษา" ธัญญ์วาริน ระบุ
ในส่วนของมุมมองที่มีต่อสื่อ ธัญญ์วาริน ให้ความเห็นว่า มองว่าปัจจุบันคนทำสื่อมีความตระหนักกับประเด็นเหล่านี้มากขึ้น เมื่อสื่อมีการเรียกหรือคำพูดที่ไม่เหมาะสมจะมีการฟีดแบ็คจากสังคมทันที และหวังว่าเมื่อมีการสื่อสารถึงตัวละครที่มีความหลากหลายทางเพศ จะมีการใส่ความเป็นมนุษย์เข้าไปมากกว่าการสร้างภาพจำบางอย่างดังที่เคยมีมาในอดีต ซึ่งปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นมาก และในส่วนตัวแล้วนั้นจะต่อสู้จนถึงวันที่ไม่มีคำว่าซีรีส์วาย LGBTQIAN+ เพราะทุกคนเท่ากันหมด โดยไม่ต้องตัดสินว่าคนอื่นมีรสนิยมทางเพศแบบไหน เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล
ด้าน รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น นักแสดง ได้บอกเล่าประสบการณ์การเติบโตที่ต่างประเทศและให้ความคิดเห็นถึงความแตกต่างของสังคมไทยกับในต่างประเทศโดยเฉพาะที่สวีเดนว่า มีความแตกต่างกันมาก โดยในเชิงปฏิบัติของประเทศไทยมีความย้อนแย้งกับกฎหมายที่กำลังรอการพิจารณาจากวุฒิสภา
รัศมีแข กล่าวว่า ขณะที่ในต่างประเทศให้การยอมรับและมีจุดยืนที่ชัดเจน เช่น ตำรวจ แพทย์ นักการเมือง ที่มีจากหลากหลายอาชีพก็สามารถแสดงออกได้ รวมถึงเรื่องการท่องเที่ยว การรับรองบุตร ที่สามารถเปิดรับสิทธิในเรื่องนี้ โดยมองว่าเรื่องของการเป็นบุคคลข้ามเพศเป็นเรื่องของรสนิยมทางเพศที่เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรถูกมองว่าเป็นเรื่องแปลก ถือเป็นการให้เกียรติทางสังคม ต้องให้ความเคารพความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีหลายประเทศให้การยอมรับและสนับสนุนในเรื่องนี้ และถ้าเลือกปฏิบัติอาจจะเสียโอกาสที่จะได้บุคลากรที่ดี ส่วนเรื่องความคิดเห็นเรื่องการสื่อสารอย่างไรนั้น มองว่าให้เน้นในเรื่องของความมีมารยาท นำมาใช้ในการสื่อสารทางสังคม
ดารัณ ฐิตะกวิน นักแสดง เปิดเผยว่า ทัศนคติของสังคมคือเรื่องสำคัญโดยควรมองให้เป็นเรื่องปกติ และไม่ใช้เรื่องเพศในการนำทางชีวิตคู่ แต่ใช้ความเอื้ออาทร ความสบาย ความสุขที่อยู่ด้วยกัน ถ้าสนใจจะพัฒนาตัวเองมากกว่าการวิจารณ์คนอื่น ให้ทุกอย่างเป็นการใช้ชีวิต ทุกสิ่งคือธรรมชาติของมนุษย์ และนำพาไปสู่ความเป็นปกติ