'ก้าวไกล' อภิปรายงบกระทรวงแรงงาน ชี้สำนักปลัดใช้งบอบรมไม่คุ้มค่า-สูตรคำนวณค่าแรงขั้นต่ำมีปัญหาไม่เป็นธรรม
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2567 ที่ประชุสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 วาระที่ 2 และ 3 วันที่สอง ในการพิจารณา มาตรา 22 กระทรวงแรงงาน โดยสภาเห็นชอบผ่านมาตรา 22 ตามที่กรรมาธิการงบฯเสียงข้างมากแก้ไข ด้วยมติ 271 ต่อ 150
นางสาววรรณวิภา กล่าวว่า สำนักปลัดกระทรวงแรงงานตั้งงบประมาณเพิ่มขึ้นในปี 2567 โดยในปี 2566 ตั้งงบประมาณ 432 ล้านบาท ปี 2567 ตั้งงบประมาณ 702 ล้านบาท เมื่อมาดูงบประมาณของสำนักปลัดกระทรวงแรงงาน พบว่านำไปใช้กับการอบรมสัมนาต่าง ๆ โดยมีงบอุดหนุนเกี่ยวกับการอบรมการป้องกันค้ามนุษย์ โดยปี 2566 ตั้งงบประมาณ 3.3 ล้านบาท ปี 2567 ตั้งงบประมาณที่ 10 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการให้แรงงานได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย เข้าใจและสามารถป้องกันตนเองจากขบวนการค้ามนุษย์ และบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ โดยรายละเอียดของโครงการคือการอบรมให้คนรู้เรื่องกฎหมาย จะดีกว่าหรือไม่ถ้าเอางบประมาณไปใช้กับจัดการสัญญาจ้าง ป้องกันสัญญาปลอมเวลาที่แรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ หรือให้กรมจัดหางานไปแก้ไขหรือดูเรื่องกฎหมายแรงงานไทยเวลาไปทำงานต่างประเทศ
นางสาววรรณวิภา กล่าวต่อว่า อีกโครงการหนึ่งที่งบประมาณเพิ่มอย่างมีนัยยะ คือ เรื่องแรงงานผู้สูงอายุและผู้พิการ เนื่องจากผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ ส่งเสริมการมีงานทำให้ผู้สูงอายุและผู้พิการ ซึ่งประเทศไทยมีกองทุนผู้สูงอายุเกือบ 4,000 ล้านบาทจากกรมสรรพสามิตร แต่ไม่เคยไปถึงผู้สูงอายุเพราะนำเงินเข้าบัตรสวัสดิการรัฐเกือบหมด จะดีกว่าหรือไม่ถ้าการจัดอบรมสร้างอาชีพไปสู่การบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.บ. ผู้พิการ มาตรา 33-35 โดยเฉพาะมาตรา 34 ไม่ได้บังคับใช้กับหน่วยงานของรัฐแม้แต่น้อย ไม่ได้บังคับกับราชการว่าจะต้องงานผู้พิการ ยกตัวอย่างในสภาฯที่มีการจ้างผู้พิการแค่ 3 คน ซึ่งไปสอดคล้องกับพันธกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่ปัจจุบันมีกองทุนผู้พิการที่มีงบประมาณ 8 พันล้านบาทที่ไม่ได้นำไปใช้ อยากฝากไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยว่า จะทำอย่างไรให้กองทุนสร้างงานสร้างอาชีพให้ผู้พิการ และผู้พิการเข้าถึงให้ได้มากที่สุด
“ควรนำงบประมาณไปลงที่การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังมากกว่า” นางสาววรรณวิภา กล่าว
นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า สำนักงานคณะกรรมการค่าจ้าง อยู่ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน มีหน้าที่พัฒนาระบบค่าจ้าง ศึกษาวิเคราะห์ดัชนีเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อวางแผนระบบค่าจ้าง และยังตั้งอนุกรรมการหลายชุดเพื่อกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำหรือที่รู้จักในชื่อสูตรค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งสูตรการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันมีปัญหา โดยสูตรค่าจ้างขั้นต่ำที่เป็นธรรม คือ แรงงานทำงานหนักขึ้นเท่าไร ก็ควรได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นเท่านั้น เช่น แรงงานทำงานเพิ่มขึ้น 10 ชั่วโมง ก็ควรได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้น 10 ชั่วโมง เป็นต้น ดังนั้นค่าจ้างที่เป็นธรรม คือ ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเท่ากับผลิตภาพแรงงานที่เพิ่มขึ้น ส่วนกรณีที่มีเงินเฟ้อ ค่าแรงที่เป็นธรรมต้องปรับตามผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลง จะช่วยให้แรงงานดูแลคุณภาพชีวิตตนเองได้ และสร้างประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการและเศรษฐกิจโดยรวม แต่หากใช้สูตรการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ใช้ในปัจจุบันแล้ว แรงงานทำงานหนักเพิ่มขึ้น 1 เท่า จะได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นแค่ 0.3 เท่า
นายสิทธิพล กล่าวว่า เมื่อนำสูตรการคำนวณค่าจ้างขั้นต่ำที่ใช้อยู่ปัจจุบัน เปรียบเทียบกับสูตรค่าจ้างที่เป็นธรรม เริ่มต้นในปี 2543 ค่าจ้างขั้นต่ำ 169 บาทเท่ากัน จนถึงปี 2565 ค่าแรงขั้นต่ำตามสูตรค่าแรงเป็นธรรมอยู่ที่ 375 บาท ส่วนค่าแรงขั้นต่ำตามสูตรปัจจุบันจะอยู่ที่ 313 บาท สูตรการคำนวณค่าจ้างขั้นต่ำที่ใช้อยู่ในปัจจุบันกระทบเศรษฐกิจระยะยาว ตอกย้ำปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงมากขึ้น ถ้าหากใช้สูตรที่ใช้ในปัจจุบันไปอีก 20 ปีข้างหน้าจะทำให้รายได้ของแรงงานน้อยลง เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจที่โตขึ้น มีคุณภาพชีวิตแย่ลง ยากจนขึ้น มีความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น
"1.ขอย้ำว่าสูตรการคำนวณค่าจ้างขั้นต่ำมีปัญหา 2.สะท้อนว่าบทบาทของกระทรวงแรงงานในการเป็นปากเสียงให้แรงงานมีปัญหา สิ่งที่ตนเองนำเสนอเป็นสิทธิที่ไม่เกินพึงมีพึงได้ของแรงงาน แต่เป็นสิทธิที่ควรจะได้ค่าตอบแทนอย่างสมเหตุสมผล 3.ขอให้ทบทวนสูตรการคำนวณค่าจ้างขั้นต่ำ ทั้งนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจเชิญผู้แทนกระทรวงแรงงาน นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักมาให้ข้อมูล ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ทุกคนเห็นตรงกันว่าสูตรการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของกระทรวงแรงงานมีปัญหา มีเพียงกระทรวงแรงงานที่เห็นว่าไม่มีปัญหา จากเหตุผลทั้งหมดนี้ อ้างอิงจากสูตรค่าแรงขั้นต่ำที่ยืนยันจะใช้ในปัจจุบัน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานของบมา 700 ล้าน ก็ควรได้รับ 210 ล้าน ปรับลด 490 ล้าน” นายสิทธิพล กล่าว
นางสาวเพชรรัตน์ ใหม่ชมภู สส.เชียงใหม่ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ขอตัดงบของกรมพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน 2 แผนงาน ได้แก่
1.แผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โครงการพัฒนาทักษะตามศักยภาพของพื้นที่ ตัดออก 9,680,000 บาท
2.แผนงานพัฒนาและสร้างเสริมทรัพยากรมนุษย์ โครงการพัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติ ตัดออก 5,000,000 บาท
เนื่องจากโครงการทั้งสองไมมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปจากปีที่แล้ว ทั้งในด้านตัวชี้วัดและเป้าหมาย ทั้งที่วิกฤตสังคมมีการเปลี่ยนแปลงต่างจากอดีต
หลังจากนั้นมีการลงมติเห็นด้วยตามที่กรรมาธิการฯเสียงข้างมากแก้ไข เห็นด้วย 271 ไม่เห็นด้วย 150 งดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนน 2