'นิวัติไชย เกษมมงคล' เลขาฯ ป.ป.ช. แจงกรณีเสียงอัยการค้านมติเรียกคืนสำนวนลูกน้อง 'บิ๊กโจ๊ก' เหตุมีการสรุปสำนวนส่งฟ้องไปแล้ว ถือว่าคดีสอบสวนเสร็จแล้ว ชี้เป็นแค่ความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่ อสส. รอฟังพนง.สอบสวนดีกว่า
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติรับเรื่องกล่าวหา พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับพวก รวม 5 คน กรณีเรียกรับผลประโยชน์จากเว็บไซต์การพนันออนไลน์ การกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงินเข้าไปตรวจสอบ พร้อมให้เรียกสำนวนการสอบสวนเรื่องกล่าวหาพันตำรวจเอก ภาคภูมิ พิสมัย รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 (ลูกน้องพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์) กับพวก และเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดคืนมาเพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป
- เข้าลักษณะผิดร้ายแรง! ป.ป.ช.มีมติรับคดีบิ๊กโจ๊ก-พวก โดนกล่าวหาเรียกผลประโยชน์เว็บพนัน
- ป.ป.ช. มติ 4:1 เสียง รับคดี 'บิ๊กโจ๊ก-พวก' โยงเว็บพนันมินนี่ ไว้ดำเนินการไต่สวนเอง
ล่าสุด นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาฯ ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายอัยการ ว่า ป.ป.ช. ไม่สามารถเรียกคืนสำนวนคดี พ.ต.อ.ภาคภูมิ กับพวก กลับคืนมาได้ เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้ทำความเห็นส่งสำนวนให้กับพนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตเเล้ว ถือว่าคดีสอบสวนเสร็จแล้วว่า อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของอัยการบางราย ไม่ใช่ความเห็นอัยการสูงสุด (อสส.) สุดท้ายแล้วต้องดูความเห็น อสส.ว่าเป็นอย่างไรต่อเรื่องนี้
" ป.ป.ช.เรามีมติไปแล้วว่าจะดำเนินการตามนี้ ขั้นตอนจากนี้ ก็คงจะมีการทำหนังสือไปถึงพนักงานสอบสวนคดีนี้ เพื่อเรียกคืนสำนวนมาก ก็ต้องดูว่าพนักงานสอบสวนจะมีความเห็นอย่างไร จะตอบกลับมาว่าอย่างไร" เลขาฯ ป.ป.ช.ระบุ
นิวัติไชย เกษมมงคล
อนึ่งเกี่ยวกับมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้รับเรื่องกล่าวหา พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กับพวก รวม 5 คน และเรียกสำนวนการสอบสวนเรื่องกล่าวหาพันตำรวจเอก ภาคภูมิ กลับมานั้น มีการระบุถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 234 (2) ได้กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ.. และวรรคท้ายของบทบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดว่า ..กรณีจำเป็นจะมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตดำเนินการแทนในเรื่องที่มิใช่เป็นความผิดร้ายแรงหรือที่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ บางระดับ... ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 61 ประกอบระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 ข้อ 28 (2) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการมอบหมายหรือส่งเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 28 (2) และ (4) ที่มิใช่ความผิดร้ายแรง ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และตามข้อ 29 วรรคสอง
ได้กำหนดว่าในกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ในภายหลังว่า เรื่องกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ส่งคืนหรือมอบหมายตามวรรคหนึ่ง เป็นเรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งดำรงตำแหน่งสูงกว่าอำนวยการระดับสูงหรือเทียบเท่า หรือเป็นเรื่องกล่าวหาที่มีลักษณะเป็นความผิดร้ายแรง หรือเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบอย่างกว้างขวาง คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจเรียกเรื่องกล่าวหาและเอกสารที่เกี่ยวข้องมาเพื่อดำเนินการต่อไปตามระเบียบนี้ก็ได้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติเสียงข้างมากรับเรื่องกล่าวหาพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กับพวก รวม 5 คน กรณีเรียกรับผลประโยชน์จากเว็บไซต์การพนันออนไลน์ เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งสูงกว่าอำนวยการระดับสูงหรือเทียบเท่า และพฤติการณ์มีการได้รับผลประโยชน์เป็นเงินจำนวนมาก อีกทั้งเป็นเรื่องที่สำคัญอยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปอันเข้าลักษณะเป็นความผิดร้ายแรงหรือเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบอย่างกว้างขวางไว้ดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ประกอบกับสำนวนการสอบสวนคดีพันตำรวจเอก ภาคภูมิ กับพวก เป็นคดีที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกัน
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 234 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 61 ประกอบระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 ข้อ 29 วรรคสอง จึงให้เรียกสำนวนการสอบสวนเรื่องกล่าวหาพันตำรวจเอก ภาคภูมิ พิสมัย รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 กับพวก และเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดคืนมาเพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป