ป.ป.ช.จับกุมตัว 'สุเมธ เพ็งจันทร์' ผู้ถูกกล่าวหาตามหมายจับ ฐานสนับสนุน 'วรยุทธ คุ้มสิน' อดีตปลัดเทศบาลตำบลบ่อพลอย กาญจนบุรี-พวก คดีทุจริตออกใบ ภ.บ.ท. 5 โดยมิชอบ หลังแกะรอยพบหลบหนีไปพักอาศัยในกาญจนบุรี เผยพฤติการณ์ความผิดแบ่งหน้าที่ทำผู้เสียหาย สูญเงินกว่า 1.2 ล้าน ควบคุมตัวส่งอัยการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว
สำนักข่าวอิศรา่ (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 มี.ค.2567 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ข่าวการสืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ถูกกล่าวหา ตามหมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง รายนายสุเมธ เพ็งจันทร์ อายุ 40 ปี กระทำความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณี นายวรยุทธ คุ้มสิน อดีตปลัดเทศบาลตำบลบ่อพลอย อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี และพวก ออกเอกสารการเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) โดยมิชอบ และนำไปหลอกขายฝากให้กับผู้อื่น หลังหลบหนีไปพักอาศัย ณ พื้นที่หมู่ที่ 8 ตำบลดอนแสลบ อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี
สำนักงาน ป.ป.ช.ระบุว่า ภายใต้การอำนวยการของ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายศรชัย ชูวิเชียร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. และนายสุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ มอบหมายให้กลุ่มสืบสวนและปฏิบัติการข่าว 1 โดยนายธนิต สุวรรณากาศ หัวหน้ากลุ่มสืบสวนและปฏิบัติการข่าว 1 มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการสืบสวนติดตามผู้ถูกกล่าวหา ตามหมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง รายนายสุเมธ เพ็งจันทร์ อายุ 40 ปี ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานสนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ รับรองเป็นหลักฐานว่าได้มีการแจ้งซึ่งข้อความอันมิได้มีการแจ้ง และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 162 (1) (2) (4) ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 341 และฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
สำหรับผู้ต้องหารายดังกล่าว มีพฤติการณ์และรายละเอียดการกระทำความผิด คือ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ขณะเกิดเหตุคดี นายวรยุทธ คุ้มสิน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ปลัดเทศบาลตำบลบ่อพลอย และเจ้าพนักงานประเมินและเจ้าพนักงานสำรวจ สำนักงานเทศบาลตำบลบ่อพลอย นางสาวกัญจนา หนูขาว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 นักวิชาการจัดเก็บรายได้ และผู้ช่วยเจ้าพนักงานสำรวจ สำนักงานเทศบาลตำบลบ่อพลอย นายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 นายรัฐศาสตร์ หรือเจียม ชื่นชูกลิ่น ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 นายธีรเดช เพ็งหวี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 นางอำนวย แซ่เฮง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 นางสาวบัวลอย คล้ายเจ๊ก ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 และนางภัคกร กองสงค์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 8 ได้ร่วมกันกระทำความผิดในลักษณะที่มีการแบ่งหน้าที่กันทำและให้การช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน ดังนี้
นายวรยุทธ คุ้มสิน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และนางสาวกัญจนา หนูขาว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ได้ร่วมกันกระทำการโดยมิชอบด้วยหน้าที่ โดยนายวรยุทธ คุ้มสิน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานประเมินและเจ้าพนักงานสำรวจ ได้ดำเนินการออกเอกสารแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) เลขสำรวจที่ 985 ตั้งอยู่ หน่วยที่ 1 หมู่ที่ 1 ตำบลบ่อพลอย อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ระบุชื่อนายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 เป็นผู้ยื่นเสียภาษีและเป็นเจ้าของที่ดิน นายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ยื่นและผู้ชี้เขต ส่วนนางสาวกัญจนา หนูขาว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ได้ออกใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2556 สำหรับที่ดินเลขสำรวจดังกล่าว โดยระบุว่าได้รับเงินภาษีบำรุงท้องที่จากนายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 เพื่อให้นายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ใช้แสดงเป็นหลักฐานว่าที่ดินเลขสำรวจดังกล่าว มีนายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 เป็นเจ้าของที่ดินและได้ยื่นเสียภาษีบำรุงท้องที่ไว้แล้ว ทั้งที่นายวรยุทธ คุ้มสิน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นางสาวกัญจนา หนูขาว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และนายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินแปลงดังกล่าวไม่มีอยู่จริง
หลังจากนั้นนายวรยุทธ คุ้มสิน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นางสาวกัญจนา หนูขาว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 นายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 นายรัฐศาสตร์ หรือเจียม ชื่นชูกลิ่น ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 นายธีรเดช เพ็งหวี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 นางอำนวย แซ่เฮง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 นางสาวบัวลอย คล้ายเจ๊ก ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 และนางภัคกร กองสงค์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 8 ได้ร่วมกันหลอกลวงนายสุเมธ ศรีรัตนมงคล กับนายนริศ กิจวรเมธา ซื้อฝากที่ดินตามเอกสารแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) เลขสำรวจที่ 985 เป็นเงินจำนวน 1,200,000 บาท
โดยในการหลอกลวงดังกล่าวมีนายรัฐศาสตร์ หรือเจียม ชื่นชูกลิ่น ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 เป็นผู้ติดต่อนางสาวบัวลอย คล้ายเจ๊ก ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 ให้หานายทุนมาซื้อฝากที่ดิน และนายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ได้อ้างกับนายสุเมธ ศรีรัตนมงคล และนายนริศ กิจวรเมธา ว่าเป็นเจ้าของที่ดินตามเอกสารแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) เลขสำรวจที่ 985 นายธีรเดช เพ็งหวี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 และนางอำนวย แซ่เฮง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 ซึ่งเป็นนายหน้าของนายสุเมธ ศรีรัตนมงคล กับนายนริศ กิจวรเมธา และนางสาวบัวลอย คล้ายเจ๊ก ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 และนางภัคกร กองสงค์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 8 ซึ่งเป็นนายหน้าของนายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ได้ร่วมกันนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปเสนอเป็นหลักประกันการขายฝากของนายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 กับนายสุเมธ ศรีรัตนมงคล และนายนริศ กิจวรเมธา โดยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวสามารถใช้ยึดหน่วงเป็นประกันการขายฝากและเปลี่ยนชื่อเจ้าของที่ดินเป็นนายสุเมธ ศรีรัตนมงคล กับนายนริศ กิจวรเมธา ได้ นายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 นายธีรเดช เพ็งหวี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 นางอำนวย แซ่เฮง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 นางสาวบัวลอย คล้ายเจ๊ก ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 และนางภัคกร กองสงค์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 8 ยังได้ร่วมกันนำชี้ที่ดินแปลงที่เป็นของบุคคลอื่นโดยอ้างกับนายสุเมธ ศรีรัตนมงคล และนายนริศ กิจวรเมธา ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินตามเอกสารแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) เลขสำรวจที่ 985 ที่จะใช้เป็นหลักประกันการขายฝาก และพานายสุเมธ ศรีรัตนมงคล กับนายนริศ กิจวรเมธา ไปทำสัญญากู้ยืมเงินที่สำนักงานเทศบาลตำบลบ่อพลอยเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557
นายวรยุทธ คุ้มสิน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และนางสาวกัญจนา หนูขาว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ได้ร่วมกันยืนยันกับนายสุเมธ ศรีรัตนมงคล และนายนริศ กิจวรเมธา ว่าที่ดินดังกล่าวมีอยู่จริงและสามารถโอนเปลี่ยนแปลงสิทธิในที่ดินได้ และนางสาวกัญจนา หนูขาว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ได้ดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อและที่อยู่เจ้าของที่ดินจากนายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 เป็นชื่อและที่อยู่ ของนายสุเมธ ศรีรัตนมงคล พร้อมระบุชื่อนายนริศ กิจวรเมธา เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม โดยนายวรยุทธ คุ้มสิน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อรับรองการเปลี่ยนแปลงให้กับนายสุเมธ ศรีรัตนมงคล และนายนริศ กิจวรเมธา พร้อมกับส่งมอบสำเนาเอกสารแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) เลขสำรวจที่ 985 ใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่ และเอกสารใบ ภ.บ.ท.5 (ท่อนนี้มอบให้เจ้าของที่ดิน) ที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแล้วให้กับนายสุเมธ ศรีรัตนมงคล และนายนริศ กิจวรเมธา โดยมีเจตนาเพื่อให้นายสุเมธ ศรีรัตนมงคล กับนายนริศ กิจวรเมธา หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงและมีที่ดินตามที่ปรากฏอยู่จริง และตกลงทำสัญญาให้นายสุเมธ เพ็งจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ขายฝากที่ดินเป็นจำนวน 1,200,000 บาท
จากการสืบสวนทราบว่าผู้ถูกกล่าวหาตามหมายจับดังกล่าว หลบหนีไปพักอาศัย ณ พื้นที่หมู่ที่ 8 ตำบลดอนแสลบ อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่ได้วางกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ จนกระทั่งพบผู้ถูกกล่าวหา จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่และแสดงหมายจับ พร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาและแจ้งสิทธิให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบและเข้าใจดีแล้ว จึงควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหาไปยังสถานีตำรวจภูธรห้วยกระเจา เพื่อทำบันทึกการจับและดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้สูญหาย พ.ศ. 2565 จากนั้น นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 7 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ดี ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
อนึ่งสำหรับ นายวรยุทธ คุ้มสิน อดีตปลัดเทศบาลตำบลบ่อพลอย ปัจจุบันถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 พิพากษาลงโทษคดีออกเอกสารการเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) โดยมิชอบ และนำไปหลอกขายฝากให้กับผู้อื่นไปแล้ว 3 คดี โดยให้นับโทษต่อกัน
คดีแรก จำคุก 1 ปี 6 เดือน คดีสอง จำคุก 2 ปี และคดีที่สาม จำคุก 2 ปี