‘ม.ร.ว.ปรีดิยาธร’ นำทีม 'อดีต บิ๊ก ก.พลังงาน’ ยื่น ‘จดหมายเปิดผนึก’ ถึง ‘นายกฯเศรษฐา’ หลังนโยบายอุดหนุนราคา ‘ค่าไฟ-น้ำมัน’ ทำ ‘กองทุนน้ำมัน-กฟผ.’ แบกหนี้กว่า 2.2 แสนล้าน จี้ปรับสูตรคำนวณ Pool Gas กลับไปเป็นเหมือนเดิม เหตุสูตรใหม่ กระทบขีดความสามารถแข่งขัน ‘อุตฯปิโตรเคมี’
..........................................
เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ,นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีต รมว.พลังงาน และนายคุรุจิต นาครทรรพ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง โดยเรียกร้องให้นายกฯ สั่งการให้มีการทบทวนนโยบายอุดหนุนราคาพลังงานของกระทรวงพลังงาน เนื่องจากเป็นนโยบายที่สร้างภาระหนี้สูงถึง 2.2 แสนล้านบาท และหนี้ดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น หากไม่มีการปรับนโยบาย
พร้อมทั้งขอให้นายกฯสั่งการให้กระทรวงพลังงานปรับสูตรการคำนวนราคาก๊าซธรรมชาติใน Pool Gas กลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะการคำนวนราคาก๊าซธรรมชาติใน Pool Gas สูตรใหม่นั้น แม้ว่าจะทำให้ราคาค่าไฟฟ้าลดลง แต่ทำให้ราคาของก๊าซส่วนที่แยกไปใช้ผลิตเป็นวัตถุดิบในโรงแยกก๊าซ (GSP) เพิ่มสูงขึ้นทันที โดยเพิ่มขึ้น 30-40% ซึ่งส่งผลกระทต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและห่วงโซ่อุตสาหกรรมต่อเนื่องจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ
@อุดหนุน‘ค่าไฟฟ้า-ตรึงดีเซล’สร้างหนี้แล้ว 2.2 แสนล.
ทั้งนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้อ่านจดหมายเปิดผนึก ว่า “พวกกระผมที่มีรายนามปรากฏท้ายหนังสือนี้ มีความเป็นห่วงในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่เศรษฐกิจของชาติบ้านเมือง อันเนื่องมาจากนโยบายพลังงานในหลายๆเรื่องที่รัฐบาลของ ฯพณฯ กำลังขับเคลื่อนอยู่ จึงใคร่ขอเรียนให้ทราบถึงความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นดังต่อไปนี้
1.เมื่อรัฐบาลปัจจุบันเริ่มเข้าบริหารงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระหนี้สิน จำนวน 48,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลให้หนี้สินจำนวนนี้ลดลงไปหรืออย่างน้อยก็ไม่เพิ่มขึ้น แต่ปรากฏว่าเพียงแค่ 5 เดือนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2567 หนี้สินกองทุนน้ำมันฯได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็น 84,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เพราะกระทรวงพลังงานได้กดราคาน้ำมันดีเซลลงจากลิตรละ 32 บาท เป็นลิตรละ 30 บาท และได้ลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ลงอีกลิตรละ 2.50 บาท อันเป็นผลให้กองทุนฯ ต้องชดเชยราคาสำหรับน้ำมันดีเซลและลดการเก็บเงินเข้ากองทุนฯจากน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ รวมถึงตรึงราคา LPG ไว้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หากปล่อยไปเช่นนี้ หนี้ของกองทุนน้ำมันก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีกจนถึงเพดานหนี้ตามที่กฎหมายกำหนดกรอบไว้ขณะนี้ คือ 110,000 ล้านบาท ในเวลาอีกไม่นานนัก
การลดราคาน้ำมันลงเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าของรถก็จริง แต่เมื่อหนี้ของกองทุนฯเพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่งที่เกินความสามารถที่จะชำระคืน รัฐบาลก็คงต้องนำเงินจากภาษีที่เก็บจากประชาชนทั้งประเทศไปล้างหนี้ดังกล่าว ซึ่งเท่ากับว่าในส่วนของราคาน้ำมัน ประชาชนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถ ต้องมาช่วยแบกภาระหนี้แทนเจ้าของรถที่มีฐานะดีกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลที่ดีพึงระวังไม่ให้เกิดขึ้น
ในช่วงนี้ที่น้ำมันในตลาดโลกราคายังมิได้ผันผวนถึงขั้นวิกฤติ คือ ค่อนข้างนิ่งและมีแนวโน้มลดลง มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 จนถึงปัจจุบัน จึงควรเรียกเก็บเงินเข้าเพื่อมาคืนสภาพคล่องและลดหนี้ให้แก่กองทุนฯ
2.ในรัฐบาลที่แล้ว เมื่อราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างมาก อันเนื่องมาจากภาวะสงครามในยุโรป รัฐบาลก่อนได้ชะลอการปรับค่าไฟฟ้า Ft ไว้เพื่อไม่ให้ค่าไฟฟ้าที่จะเก็บจากประชาชนเพิ่มขึ้นในจำนวนสูงเกินไป โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระราคาก๊าซ LNG ที่เพิ่มสูงขึ้นไว้ก่อน แล้วจึงจะค่อยทยอยผ่อนคืน กฟผ. โดยการขึ้นค่า Ft ทีละนิดในงวดถัดๆไป
ณ สิ้นเดือน สิงหาคม 2556 หนี้ค่า Ft ที่ กฟผ.แบกรับไว้มียอดค้างอยู่ 110,000 ล้านบาท พอรัฐบาลชุดใหม่รับงาน เป็นจังหวะที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ) จะต้องอนุมัติปรับค่า ไฟฟ้า ซึ่งตั้งใจจะปรับลดจากงวดก่อนจากหน่วยละ 4.70 บาท เป็นหน่วยละ 4.45 บาท (ในงวดเดือน ก.ย. ธ.ค.2566) เพื่อให้พอมีเงินเข้ามาช่วยลดภาระหนี้ที่ กฟผ.แบกรับไว้ลงบ้าง
ปรากฏว่ารัฐบาลใหม่กลับ ประกาศกดราคาค่าไฟฟ้าลงไปอีกเหลือหน่วยละ 3.99 บาท ซึ่งมีผลให้ กฟผ.ต้องแบกรับหนี้เพิ่มขึ้นอีกคือเพิ่มสูงขึ้นเป็น 137,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 หากปล่อยไปเช่นนี้ ในที่สุดก็คงจะต้องนำเงินภาษีของประชาชนไปล้างหนี้จำนวนนี้ให้กฟผ.เพื่อให้ กฟผ.ดำเนินกิจการต่อไปได้
รัฐบาลที่ดีย่อมจะต้องตระหนักว่ามีภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลไม่ให้มีการหมักหมมปัญหาและ หมกหนี้ไว้ที่หน่วยงานของรัฐ และตั้งใจหามาตรการที่จะทยอยลดหนี้ได้ตั้งแต่ที่ปัญหายังไม่หนักเกินไปก็จะสามารถสะสางปัญหาให้จบลงด้วยดีได้โดยไม่ต้องรบกวนภาษีของประชาชน
@ขอรัฐบาลบังคับใช้มาตรฐานน้ำมัน ‘ยูโร 5’
3.รัฐบาลไทยในอดีตได้ออกนโยบายที่เป็นคุณต่อสิ่งแวดล้อมในอากาศ คือ วางแผนให้มีการผลิต น้ำมันคุณภาพสูงขึ้นเป็นมาตรฐาน Euro 5 โดยได้มีการขอความร่วมมือและจูงใจให้โรงกลั่นในประเทศทั้ง 6 โรง ลงทุนก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์ปรับกระบวนการผลิตให้ได้น้ำมันคุณภาพ Euro 5 ซึ่งใช้เงินลงทุนไปจำนวนมากหลายหมื่นล้านบาท
พร้อมกันนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้ดำเนินการออกมาตรฐานรถยนต์ใหม่ให้รองรับคุณภาพน้ำมันใหม่ และกระทรวงพลังงานได้ดำเนินการออกมาตรฐานบังคับใช้คุณภาพน้ำมันที่ลดกำมะถันลงให้เหลือไม่เกิน 10 ppm กับลดค่า NOx และฝุ่น PM ลงให้ไม่เกิน 8 % ภายใน 5 ปี โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 โดยเป็นที่เข้าใจกันว่ากระทรวงพลังงานจะปรับสูตรสำหรับคิดราคาน้ำมันอ้างอิงที่หน้าโรงกลั่นให้สะท้อนถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุน เพื่อให้มีความสามารถในการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพสูงขึ้นเป็นระดับ Euro 5
ปรากฏว่าจนถึงบัดนี้ ทั้งๆที่กระทรวงพลังงานได้ประกาศให้ใช้น้ำมันระดับ Euro5 แล้ว กระทรวงพลังงานภายใต้รัฐบาลใหม่ยังนิ่งเฉย แสดงท่าทีไม่ยอมรับคุณภาพน้ำมันสะอาดใหม่นี้ โดยไม่พิจารณาปรับราคาอ้างอิงหน้าโรงกลั่นของเบนซิน แก๊สโซฮอล์และดีเซล จนภาคเอกชน คือ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ต้องออกมาเรียกร้องขอให้ปรับสูตรราคาอ้างอิงดังกล่าว
หากรัฐบาลเพิกเฉยไม่ทำอันใด ในที่สุดผู้ค้าน้ำมันก็คงจะไม่ยอมรับในราคาอ้างอิงในแบบเดิมๆที่รัฐกำหนดและเลือกใช้วิธีกำหนดราคาขายหน้าปั๊มเอง ซึ่งอาจมีผลเสียต่อผู้บริโภคมากกว่า และโรงกลั่นก็จะไม่ยอมลงทุนอะไรไปก่อนอีกตามที่รัฐขอความร่วมมือในอนาคต นอกจากนี้ นโยบายของรัฐในสายตาของนักลงทุนก็จะขาดความน่าเชื่อถือและเสื่อมถอยลงด้วย
4.คุณภาพอากาศกำลังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ปัญหาของฝุ่นควันในต่างจังหวัดเกิดจากการเผาไร่และเผาป่าเป็นสาเหตุใหญ่ ในขณะที่สาเหตุหลักของฝุ่นควันในอากาศบริเวณกรุงเทพฯและปริมณฑล ก็คือควันพิษจากรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล เบนซิน และแก๊สโซฮอล์
รัฐบาลในอดีตและปัจจุบันมีนโยบายที่จะกระตุ้นให้คนหันมาใช้รถไฟฟ้าสาธารณะหรือใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นพาหนะส่วนตัวเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาควันพิษในอากาศลงบ้าง แต่การลดราคาน้ำมันทุกชนิดให้ต่ำลง ย่อมเป็นการกระตุ้นให้มีการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงอย่างฟุ่มเฟือยและก่อให้เกิดควันพิษมากขึ้น ดูเป็นนโยบายที่ขัดหรือย้อนแย้งกับเรื่องการดูแลคุณภาพอากาศและพลังงานสะอาดอย่างชัดเจน ทำให้ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลนี้มีความตั้งใจที่จะลดปัญหาควันพิษในอากาศเพื่อคุณภาพ ชีวิตที่ดีของประชาชน กับจะส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จริงหรือไม่?
@เรียกร้องปรับสูตรคำนวน ‘Pool Gas’ กลับมาเป็นแบบเดิม
5.ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 กระทรวงพลังงานใช้กลเม็ดการคิดเลขในการหาต้นทุนที่ต่ำลงสำหรับ ก๊าซใน Pool Gas ที่ใช้สำหรับผลิตไฟฟ้า โดยมิได้เป็นการจัดหาและนำก๊าซต้นทุนต่ำมาเพิ่มเติมใน Pool Gas แต่อย่างใด
กล่าวคือ กระทรวงพลังงานปรับสูตรการคำนวนราคาก๊าซธรรมชาติใน Pool Gas ใหม่ โดยนำราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย (ซึ่งมีราคาต่ำกว่าราคาก๊าซจากพม่าและก๊าซ LNG) ส่วนที่เคยส่งเป็นวัตถุดิบไปเข้าโรงแยกก๊าซเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ คือ อีเทนและโพรเพนป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เอามารวมคำนวณเป็นราคาใน Pool Gas เพื่อให้ได้ราคาเฉลี่ยสำหรับการผลิตไฟฟ้าที่ต่ำลง
ผลที่ตามมา ก็คือราคาของก๊าซส่วนที่แยกไปใช้ผลิตเป็นวัตถุดิบในโรงแยกก๊าซ (GSP) เพิ่มสูงขึ้นทันที อันส่งผล ต่อการทำผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง และทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของปิโตรเคมีทั้งระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและห่วงโซ่อุตสาหกรรมต่อเนื่องจากต้นน้ำถึงปลายน้ำด้วย
นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีอำนาจเพียงกำหนดอัตราค่าบริการก๊าซ ธรรมชาติ ก็แต่เฉพาะก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นพลังงานเท่านั้น มิได้มีอำนาจกำหนดราคาก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบ นโยบายที่มอบให้ กกพ.นี้จึงสุ่มเสี่ยงที่จะใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมายด้วย
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ประเทศไทยใช้เวลามากกว่า 30 ปีในการสร้างเครือข่ายอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอาทิ พลาสติก สิ่งทอ และอะไหล่รถยนต์หลายพันกิจการ ก่อให้เกิดนิคม อุตสาหกรรมระดับโลกขึ้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง และความโชติช่วงชัชวาลขึ้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก และช่วยทำให้ GDP และการส่งออกของไทยเติบโตมาอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง
ซึ่งในปี 2564 เฉพาะกลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มแปรรูปพลาสติก มียอดขายรวมถึง 1,720,000 ล้านบาทหรือ 10.7% ของ รายได้ประชาชาติของไทย มีการจ้างงานรวมกว่า 400,000 คน ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นมากทันที โดยเพิ่มขึ้น 30-40%เพราะการกำหนดสูตรราคาก๊าซใหม่นี้ จะกระทบอย่างรุนแรงต่อความอยู่รอดของอุตสาหกรรมเหล่านี้อย่างแน่นอน หากปล่อยไว้นานเกินไปจะกระทบถึงฐานะของกิจการจนต้องทยอยปิดลง กระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้าง
ผมเชื่อว่ารัฐบาลนี้ไม่มีเจตนาที่จะให้เกิดผลเสียในลักษณะดังกล่าว และยังไม่สายเกินไปที่จะ แก้ไขปัญหาในเรื่องนี้โดยการกลับไปใช้สูตรการคำนวนราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิม
พวกกระผมเข้าใจดีว่ารัฐบาลมีความตั้งใจที่จะให้ผู้บริโภคได้ใช้น้ำมัน ก๊าซหุงต้ม LPG และไฟฟ้า ที่ราคาถูก แต่ในการดำเนินนโยบายเพื่อความตั้งใจดีนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงผลเสียที่เกิดขึ้นด้วย
พวกกระผมเห็นว่าผลเสียที่กำลังเกิดขึ้นใหญ่หลวงทีเดียว และจะขยายตัวอย่างรวดเร็วกับก่อ ผลกระทบในวงกว้าง จึงได้เขียนหนังสือถึง ฯพณฯ ด้วยเห็นว่า ฯพณฯ เป็นคนเดียวที่สามารถบันดาลให้มีการปรับแก้นโยบายของกระทรวงพลังงานทุกเรื่องที่กล่าวถึงนั้นได้ ฯพณฯ ที่มุมานะพยายามทำงานให้ประเทศชาติอย่างเต็มกำลัง และหยุดยั้งความเสียหายต่อประเทศชาติ ในครั้งนี้ได้”
@หวัง‘นายกฯ’ทบทวนนโยบายพลังงานกลับไปใช้สูตรเดิม
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่พวกเราต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯในเรื่องนี้ เพราะนโยบายที่กระทรวงพลังงานกำลังดำเนินการอยู่นั้น นายกฯไม่ทราบเรื่องและไม่เกี่ยวข้องด้วย พวกเราจึงต้องสรุปความเสียหายให้นายกฯรับทราบ และเมื่อนายกฯทราบความเสียหายแล้ว ทั้งเรื่องหนี้ที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบที่มีต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมีแล้ว ก็เชื่อว่าด้วยความเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านนายกฯ ก็คงช่วยคิดและแก้ไขเอง
“ข้อเสนอของเรา คือ การกลับมาใช้สูตรเดิมทั้งหมด โดยข้อเสนอต่างๆได้แทรกอยู่ในจดหมายเปิดผนึกแล้ว” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวและว่า “ถ้านายกฯยังไม่รู้เรื่องนี้ เราจงใจเขียนจดหมายถึงท่านนายกฯ ให้รู้เรื่องนี้ว่า มันเสียหายจริงๆ และท่านเป็นคนเดียวที่แก้ได้”
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุด้วยว่า ที่ผ่านมามีคนพยายามไปพูดคุยทำความเข้าใจกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน แล้ว แต่นายพีระพันธุ์ไม่รับฟัง
“มีคนพยายามไปคุยเยอะเลย ก็ไม่ยอมฟัง มีคนพยายามไปคุยแล้ว ถ้าสำเร็จ ก็จบไปแล้ว แต่เมื่อท่านไม่ฟัง ก็เลยต้องใช้วิธีนี้” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
นายณรงค์ชัย ระบุว่า นโยบายที่กระทรวงพลังงานดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อนโยบายการกำกับกิจการพลังงานของประเทศไทยที่พัฒนามาเป็นอย่างดีในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา และกำลังสร้างความเสียหายในระยะยาว ซึ่งตนเข้าใจดีว่าประชาชนอยากซื้อไฟฟ้าและน้ำมันในราคาถูก แต่เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานมาจากต่างประเทศ ดังนั้น จึงต้องเน้นการสร้างความมั่นคงในระบบพลังงานให้มากที่สุด
“ตอนผมเป็นรัฐมนตรี กฟผ. เป็นหน่วยงานที่ยอดเยี่ยม แต่ตอนนี้ลองดูสิ กว่าจะตั้งผู้ว่าฯได้ ก็ต้องใช้เวลา 7 เดือน อะไรกันนักกันหนา ไม่เข้าใจ แล้วหนี้เขา (กฟผ.) วันก่อนเขามาคุยกับผม หน้าจ๋อยหมดเลย เขาบอกว่าหนี้มันแสนกว่าล้านแล้ว จะทำอย่างไร พวกนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก มันทำให้ระบบที่เราสร้างกันไว้ยาวนาน กำลังจะเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในระยะยาว” นายณรงค์ชัย กล่าว
นายคุรุจิต กล่าวว่า ขณะนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระหนี้จากการอุดหนุนราคาพลังงานเกิน 9 หมื่นล้านบาทแล้ว เช่นเดียวกับหนี้ของ กฟผ.ที่ติดค้างค่า Ft กว่า 1.3 แสนล้านบาท หรือรวมแล้วกว่า 2.2 แสนล้านบาท ซึ่งหากรัฐบาลไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายด้านพลังงานก็จะทำให้หนี้สินดังกล่าวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกองทุนน้ำมันฯที่มีหนี้จากการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลสูงถึงเดือนละ 9,900 ล้านบาท