'เศรษฐา ทวีสิน' นายกฯ สั่ง 'ธรรมนัส พรหมเผ่า' รมว.เกษตรฯ เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการกรมการข้าว หลังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ ระบุต้องทำความจริงให้กระจ่างรายงานครม. รับทราบโดยเร็ว ด้านอธิบดีฯ เปิดแถลงข่าวยันไปบ้านศรีสุวรรณไม่เกี่ยวเจรจาจ่ายเงิน แค่ไปถามเหตุใดต้องร้องเรียน ลั่นถ้าไม่ผิดสู้ตายชีวิตเกิดได้ครั้งเดียว ส่วน 'ธรรมนัส' ยันผลสอบข้อเท็จจริงโครงการไม่พบปัญหา ใครพาดพิงเกี่ยวข้องรีดเงิน จะดำเนินคดีหมด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เนื่องจากช่วงนี้มีข่าวตามหน้าสื่อต่างๆ ที่เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์เกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง จึงขอให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ไปดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการต่างๆของกระทรวงเกษตรฯ ที่เป็นข่าวในขณะนี้ เช่น โครงการส่งเสริมการเปลี่ยนเมล็ดพันธ์ข้าว และโครงการปรับปรุงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว เป็นต้น โดยต้องทำความจริงให้กระจ่างเป็นที่ปรากฏและรายงานให้ ครม. รับทราบโดยเร็ว
ในวันเดียวกันที่กระทรวงเกษตรฯ นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดแถลงข่าวกรณีมีการพาดพิงเรื่อง ‘นายหมู' ที่ปรึกษา รมว.เกษตรฯ เป็นคนพาภรรยาของอธิบดีกรมการข้าว นำเงินไปมอบให้กับนายศรีสุวรรณ จรรยา เมื่อ 28 พ.ย. 2566 โดยอ้างว่าต้องการให้เรื่องร้องเรียนยุติลง และไม่ทำให้เสื่อมเสียต่อองค์กร
นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า "วันนี้ตัดสินใจจะแถลงข่าวเฉพาะบางส่วนที่เกี่ยวข้อง เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นดำเนินการกับภรรยาเพียง 2 คนเท่านั้น โดยรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมานานพอสมควร และไปแจ้งความดำเนินคดี ทั้งนี้ ทีมงานที่ปรึกษาของ รมว.เกษตรฯ ไม่ทราบเรื่องซักคน"
นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวอีกว่า "จนกระทั่ง ด้วยความรำคาญใจ จึงตัดสินใจเดินทางไปบ้านของนายศรีสุวรรณ พร้อมด้วยพี่หมู และภรรยา รวม 3 คน โดยนำพี่หมูไปเป็นพยาน แต่การไปไม่ได้ไปเคลียร์เรื่องการจ่ายเงิน แต่ไปถามว่าเพราะเหตุใดจึงร้องเรียนผม เพราะผลการสอบสวนออกมาแล้วว่าไม่ได้ผิดอะไร ทั้ง 4-5 โครงการนั้น ซึ่งก็คุยกันเข้าใจแล้ว หลังจากนั้นก็กลับออกมาจากบ้านนายศรีสุวรรณ และพี่หมูไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย ไม่ได้จ่ายเงิน ไม่ได้ไปเจรจาเรื่องการจ่ายเงินจ่ายทองอะไรทั้งนั้น"
นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นก็ทอดเวลามาประมาณ 2-3 สัปดาห์ จนกระทั่งมีการแถลงข่าวเรื่องฝนหลวงและวกมาที่กรมการข้าว ซึ่งคนที่ไม่ผิดมันเจ็บใจ ไม่รู้จักหยุดสักที ด้วยความแค้นและเจ็บใจจึงวางแผนกับภรรยา โดยไม่ให้ทีมงานของ รมว.เกษตรฯ เดือดร้อน เพราะตัวเองก็พอมีเงิน หากสู้เองไม่ได้ก็จ้างทนายสู้ เพราะดึงคนนั้นคนนู้นมาเสียหายหมด จึงรวบรวมข้อมูลหลักฐานไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป) ทั้งหมดนี้ คือสาเหตุที่ทำด้วยความรำคาญ
"ในคืนนั้นก่อนเกิดเหตุผมได้รับการติดต่อมาว่า จะมากินกาแฟด้วย จึงสั่งลูกน้องให้ติดกล้องวงจรปิดทั้งกรม โดยยืนยันว่าตั้งใจล่อซื้อ ส่วนวงเงินนั้นมีการต่อรองตามที่เป็นข่าว แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด เพราะเกรงจะเสียรูปคดี" นายณัฏฐกิตติ์กล่าว
พร้อมย้ำว่า "ถ้าไม่ผิดผมสู้ตายนะ ตายเป็นตายผมไม่กลัวอยู่แล้ว ชีวิตเกิดได้ครั้งเดียว ถ้าไม่ผิดอย่ามาแกล้งกัน จะผิดไม่ผิดเป็นข้อกฎหมาย ผมเป็นข้าราชการ ถ้าผมผิดต้องถูกสอบสวน แต่วันนี้ผลการสอบสวนออกมาหมดแล้วว่าไม่มีมูล ทุกอย่างโปร่งใสชัดเจน ตรวจสอบได้ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์วันนั้นขึ้นมา"
@ ณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์
นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวอีกว่า ส่วนทีมงานและที่ปรึกษานั้น รู้ภายหลังที่ตนเองไปจับกุมแล้ว
"วันนั้นได้โทรศัพท์ไปขอโทษ รมว.เกษตรฯ ที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า เพราะกลัวทีมงาน รมว.เกษตรฯ เดือนร้อน และเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีข้าราชการคนหนึ่งและครอบครัว ที่เจ็บใจมากที่สุดคือ กว่าจะเลี้ยงไก่ได้แต่ละตัว ดันไปกล่าวหาว่าภรรยาตนเองค้าตีนไก่ ทำให้ไม่พอใจเป็นอย่างมาก"
นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวยืนยันว่า ไม่มีการจ่ายเงินในวันที่ 28 พ.ย. ไม่รู้ว่าทนายคนนั้นไปพูดอะไร ต้องฟังจากปากตน ต้องเขียนแบบที่พูด ห้ามบิดเบือน ถ้ามี นายศรีสุวรรณจะร้องทำไม เจอนายศรีสุวรรณแค่ครั้งเดียวก่อนที่จะเกิดเรื่อง หลังจากนั้นไม่ทราบ เพราะได้มอบหมายให้ภรรยาของตนไป
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า 3-4 โครงการที่เป็นข่าวชี้แจงได้หรือไม่
นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า "ไปตรวจได้เลย เพราะกระทรวงฯ แต่งตั้งกรรมการมาตรวจสอบหลายชุด ถ้ามีไม่มายืนในจุดนี้ได้หรอก ส่วนคนรอบตัวไม่มีคนเรียกรับเงินเพิ่มเติม ยกเว้นเคสตนกับภรรยา"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึง กระแสข่าวการต่อรองจำนวนเงินจาก 3,000,000 บาท เหลือ 1,500,000 บาทนั้น
นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า "มันแค้น ทำไมต้องทำตัวแบบนี้อีก ผมไม่ผิด เงินทั้งหมด ผมตั้งใจล่อซื้อ สำหรับการล่อซื้อที่การกระทำหลายครั้งนั้น นายณัฏฐกิตติ์ย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า ครั้งเดียวจะไปจับคนได้อย่างไร ต้องมีหลักฐานชัดเจนแน่นหนา ไม่ได้ทำโดยพละการ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวว่ากรณีนี้มีความเชื่อมโยงกับอดีตนักการเมือง ชื่อย่อ ‘ป.ปลา‘
นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า "ไม่เกี่ยว ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่เกี่ยวกับผม"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวว่ามีผู้ใหญ่โทรมาปรามนั้น นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า "ไม่มี ไม่รับโทรศัพท์ใครทั้งนั้น"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังหรือไม่ นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า "ไม่มีเบื้องหลัง ไม่มีเกมการเมือง ไปล่อซื้ออย่างเดียว ส่วนที่ต้องล่อซื้อหลายครั้งเพราะครั้งเดียวคงจับใครไม่ได้ ต้องมีหลักฐานชัดเจนแน่นหนา เรื่องนี้ไม่ได้ทำโดยพลการ"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีการโยกย้ายงบประมาณของกรมการข้าวไปให้หน่วยงานอื่นดูแล ถือว่าผิดปกติหรือไม่ นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า งบโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 15,000 ล้านบาท นั้น เป็นงบที่ไม่ได้ใช้ กรมการข้าวไม่ได้บริหารเอง จึงต้องโอนไปให้ ธ.ก.ส.บริหารจัดการต่อ ซึ่งมีมติ ครม.ออกมาแล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีผู้คนตั้งข้อสังเกตว่า "ภรรยารู้เรื่องในกรมมากเกินไปหรือไม่"
นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า "ผมเป็นผู้บริหาร ส่วนภรรยาอยู่หลังบ้าน ส่วนคลิปเสียงที่ว่า เป็นการแอบอ้างผู้ใหญ่เพื่อให้ตัวเองเกรงกลัว ส่วนที่ต้องยอมต่อรองจ่ายเพราะเป็นการล่อซื้อและทำให้เนียนที่สุด ต้องจับให้ได้ เขาก็สวนกลับเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เก็บข้อมูลทุกวัน ไม่ใช่ว่าไปจับเลย "
ต่อมา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้เดินเข้ามาที่กระทรวงเกษตรฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงกรณีดังกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า อยากบอกอะไรอธิบดีกรมการข้าวหรือไม่
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า "สำหรับอธิบดีกรมการข้าว กับผม คุยกันทุกวัน ดังนั้นไม่ต้องพูดอะไรมาก"
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวอีกว่า ตั้งแต่มีการร้องเรียนโครงการฯ ตั้งแต่ปีที่แล้ว ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้หน่วยงานได้ชี้แจง กระทั่งได้ข้อสรุปว่าไม่ผิด โดยเฉพาะประเด็นงบฯ 15,000 ล้านบาท แล้วจะไปเอาผิดได้อย่างไร
"ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและขออย่าเบี่ยงประเด็นว่ากระทรวงเกษตรฯ เป็นจำเลยของสังคม และต้องให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ใช้หลักกฎหมาย ให้ผู้ถูกร้องได้ชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ได้ทำงานตามกระแส นักหิวแสงทั้งหลายจุดประเด็นทั้งที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึง ประเด็นที่ ร.อ.ธรรมนัสถูกพาดพิง
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า "คนระดับรัฐมนตรีว่าการฯ ไปสมคบกับคนเรียก 1,500,000 บาท นี่นะ ใครพาดพิงถึงผม ผมดำเนินคดีหมด อะไรที่ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าไม่ชอบ ร้องขึ้นมาก็ต้องตรวจสอบทั้งหมด เพียงแต่ไม่อยากให้เบี่ยงประเด็นกลายเป็นกระทรวงเกษตรฯ ตกเป็นจำเลย สำหรับนักหิวแสงทั้งหลาย เดี๋ยวอาจเชิญไปกินข้าวยำที่ตากใบบ้าง ส่วนประเด็นที่โยงไปถึงอดีตนักการเมือง มองว่าอย่าไปพาดพิง ชั่วโมงนี้ผมมาทำความสะอาด มาปัดเป่า ไม่ใช่มานั่งตรงนี้แล้วซัดคนเก่าเละ ไม่ใช่ธรรมนัส ไม่ใช่สไตล์"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึง ปฏิบัติการล่อซื้อของอธิบดีกรมการข้าวว่า ไม่มีการเข้ามาปรึกษาก่อน
ร.อ.ธรรมนัส ตอบว่า ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่ล่อซื้อ เป็นการดำเนินการตามพยานหลักฐาน ปรึกษานักกฎหมาย พึ่งตำรวจ ถ้าไม่พึ่งตำรวจแล้วเขาจะทำอย่างไร เพราะเรื่องนี้ไปยุ่งถึงลูก ถึงภรรยา มันเกินรับได้
"เรื่องนี้กระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้เสียหาย ถูกพาดพิง ถูกกระทำ ไม่เกี่ยวกับการเมือง เป็นการทำมาหากินโดยไม่ชอบ ต้องให้ความเป็นธรรมกับอธิบดีด้วย" ร.อ.ธรรมนัสระบุ