ศาลอาญา ยกฟ้องทุกข้อหา 'ทุน มินหลัด' นักธุรกิจเมียนมา -ลูกเขย สว.อุปกิต ปาจรียางกูร กับพวก คดีสมคบค้ายาเสพติด ชี้พลาดใช้วิธีชำระเงินเเบบโพ๊ยก๊วนมีบัญชียาเสพติดปะปนอยู่ในเส้นเงิน เเต่พยานโจทก์ ยังรับฟังไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องยาเสพติด หลักฐานจำเลยสามารถหักล้างได้หมด ทนายความเผยดีที่สู้คดีไม่ได้รับสารภาพ ญาติปรบมือลั่นร้องไห้ สวมกอดด้วยความดีใจ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2567 ที่ห้องพิจารณา 801ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีดำ ย 1249/2565 ที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 9 เป็นโจทก์ฟ้องนายทุน มินหลัด (Mr.TUN MIN LATT) นักธุรกิจชาวเมียนมา จำเลยที่ 1 นายดีน ยัง จุลธุระ ลูกเขยนายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา จำเลยที่ 2 น.ส.น้ำหอม เนตรตระกูล จำเลยที่ 3 น.ส.ปิยะดา คำต๊ะ จำเลยที่ 4 และบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด โดยนายทุน มิน หลัด และ น.ส.น้ำหอม ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ จำเลยที่ 5 ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุนกันกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมีลักษณะเป็นความผิดร้ายแรง องค์กรอาชญากรรม
โดยศาลฯ พิเคราะห์แล้วไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 5 ร่วมกันทำผิด เกี่ยวกับการสมคบค้ายาเสพติด และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พยานหลักฐานของจำเลยสามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ทั้งหมด พิพากษายกฟ้อง
คดีนี้ อัยการโจทก์ ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 22 ก.พ.2562 ถึงวันที่ 10 พ.ค.2562 จำเลยทั้ง 5 กับพวกที่ยังหลบหนี และจำเลยบางส่วนที่ศาลจังหวัดธัญบุรีพิพากษาไปแล้วได้บังอาจร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปโดยตกลงวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำในการจัดหายาเสพติดประเภท1 (ยาบ้า) โดยพวกจำเลยทำหน้าที่ดูแลรับฝากเงิน ถอนเงิน โอนเงินซื้อขายค่ายาเสพติดเข้าบัญชีของบริษัทฯ จำเลยที่ 5 โดยอ้างว่า เพื่อไปชำระค่าไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อ.แม่สาย.จ.เชียงราย ลักษณะปกปิด อำพรางซึ่งการได้มาของเงินจำนวนดังกล่าว โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติด โดยบริษัทฯ จำเลยที่ 5 มีหน้าที่นำเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดเปลี่ยนสภาพเป็นสินค้าประเภทกระแสไฟฟ้า ส่งออกไปประเทศเมียนมา รวมความผิดกว่า 32 กระทง
พวกจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี
วันนี้ ศาลสั่ง เบิกตัวจำเลยทั้งหมดจากเรือนจำมาฟังคำพิพากษา โดยมีครอบครัวญาติและเพื่อนมาร่วมฟังคำพิพากษาและร่วมให้กำลังใจ
ศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษากว่า 3 ชั่วโมง โดยอ่านถึงประเด็นเรื่องเส้นทางการเงินอย่างละเอียด พิเคราะห์พยานหลักฐาน เกี่ยวกับเส้นทางการเงินของกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดจำนวน 6 กลุ่ม ที่ก่อนหน้านี้ศาลได้มีคำพิพากษาว่า มีความผิด ส่วนเส้นทางการเงินของเครือข่ายยาเสพติดทั้ง 6 กลุ่มมีบางส่วนที่เชื่อมโยงมาที่ร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตรา ตามแนวชายแดน ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจในเครืออัลลัวกรุ๊ป ก็ใช้บริการ ร้านแลกเปลี่ยนเงินตราร้านเดียวกัน เพราะมีความน่าเชื่อถือ และทางสถานทูต มีการตรวจสอบแล้วพบว่า ได้รับอนุญาตถูกต้อง จากหน่วยงานภาครัฐของทางเมียนมา
ทั้งนี้ จากการนำสืบของพยานโจทก์ ซึ่งเป็นกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดทั้ง 6 กลุ่ม ให้การยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกับจำเลยทั้ง 5 มาก่อน และในขณะจับกุมกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดจำเลยทั้ง 5 ก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
เมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของพยานบุคคล จากกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่มาเบิกความต่อศาล สอดคล้องต้องกันว่า เป็นลูกค้าที่ใช้บริการโอนเงิน เพื่อชำระค่าสินค้าที่ซื้อไป บางรายใช้วิธีการโอนเงินมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นช่วงสถานการณ์โควิดที่ชายแดนปิด ไม่สามารถเดินทางไปมาระหว่างกันได้
เชื่อว่าร้านแลกเปลี่ยนเงินตรา มีผู้มาใช้บริการถึง 500 บัญชี และมี 22 บัญชีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่มาใช้บริการร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราด้วย ซึ่งตัวแทนบริษัทเมียนมาร์อัลลัวกรุ๊ปก็ใช้บริการบัญชีเงินฝากร้านแลกเปลี่ยนเงินตราเดียวกันนี้ด้วย ทำให้ชุดพนักงานสอบสวนเข้าใจผิดได้ แม้ในช่วงที่จำเลยที่ 1-4 ถูกจับกุม ทางบริษัทของกลุ่มจำเลย ก็ยังใช้วิธีการชำระเงินแบบเดิม ซึ่งผิดปกติวิสัยว่าหากถูกจับกุมในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดแล้วจะใช้วิธีการเดิมในการชำระเงิน
ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกเขยของสว.อุปกิต ได้ถูกเชิดให้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทอัลลัวร์ กรุ๊ปก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้ไม่ต้องโดนตรวจสอบ เป็นเพราะความมักง่ายในการทำธุรกิจ ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ปกปิดเพราะเป็น สว. หลีกเลี่ยงการตรวจสอบเกี่ยวกับการทำธุรกิจ แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
ภายหลังศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง กลุ่มญาติของจำเลยที่มาร่วมฟังคำพิพากษา ต่างลุกขึ้นปรบมือส่งเสียงเฮดังลั่นห้องพิจารณาคดี และร้องไห้ เข้าสวมกอดกับจำเลยด้วยความดีใจ
@ ทนายความชี้เป็นคดีตัวอย่าง
นายเรืองศักดิ์ สุขเสียงศรี ทนายความนายดีน ยัง จุลธุระ จำเลยที่ 2 ลูกเขย นายอุปกิต และทนายความของนายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า "คดีนี้เส้นทางการเงินกระจายไปทั่ว ไม่ใช่เฉพาะบริษัทเมียนมาอัลลัวร์ แต่โจกท์ฟ้องเฉพาะจำเลย จึงหักล้างว่านิติบุคคลอื่นที่มีเส้นทางการเงินคล้ายกับเรา มาหักล้างว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ถ้าเราเกี่ยวข้องนิติบุคคลอื่นก็ต้องเกี่ยวข้องด้วย ก็จะต้องเกี่ยวด้วย เพราะรับเงินจากร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราที่เดียวกัน ที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งศาลพิจารณาโดยมีรายละเอียดข้อเท็จจริง มีเหตุผลอย่างละเอียดมากๆ"
"คำพิพากษานี้จะเป็นตัวอย่างให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะจับกุมใคร ต้องดูให้ละเอียดก่อนออกหมายจับ เพราะศาลพูดออกมาเลยว่าหละหลวมมาก ซึ่งคดีนี้มีโทษถึงประหารชีวิต ดีที่เราสู้คดีไม่ได้รับสารภาพ ลองคิดดูหากพลาดจะเป็นอย่างไร"
@ คดี สว.อุปกิต ใช้คำพิพากษานี้ด้วย
นายเรืองศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของนายอุปกิต จะต้องใช้คำพิพากษานี้ถึงแม้จะยังไม่ถึงที่สิ้นสุดไปประกอบในสำนวน เนื่องจากข้อเท็จจริงเหมือนกันหมด ทั้งพยานบุคคลและพยานหลักฐาน ซึ่งในคำพิพากษาคดีนี้ก็มีชื่อนายอุปกิตด้วยก็สามารถนำไปอ้างอิงได้ ส่วนจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ไม่ทราบแต่จำเป็นต้องใช้แน่นอน
"ส่วนเรื่องที่จะขอให้อัยการสูงสุดถอนฟ้องคงยาก เนื่องจากคดีฟ้องมาแล้ว จะสู้กันในศาลให้ถึงที่สุด โดยคดีนี้จะเป็นคดีตัวอย่าง การที่จำเลยในคดีนี้ต้องติดคุกถึง 1 ปีครึ่ง ไม่ได้ประโยชน์ จำเลยที่ 2 ทำงานบริษัทได้เงินเดือน 3.4 แสนบาท แต่ต้องโดนออกจากงาน ใครจะรับผิดชอบ"
เมื่อถามว่า ศาลอ่านพฤติการณ์การอำพรางการเป็นเจ้าของธุรกิจของนายอุปกิต จะกระทบต่อตำแหน่ง สว.หรือไม่ ทนายตอบว่า เป็นเรื่องของวุฒิสมาชิกว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่มองว่านายอุปกิตคงไม่ได้ปกปิด คดีนี้ยังมีอุทธรณ์ฎีกาอยู่