‘พิธา’ เปิดใจสื่อที่รัฐสภา ยอมรับเสียดายเวลา 6 เดือนที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. น้อมรับเคสล่วงละเมิดของสมาชิกพรรค จะปรับปรุงให้ดีขึ้น อโหสิ ‘เรืองไกร’ ไม่เอาคืน ยืนยันไม่ค้านทุกเรื่อง แต่จับตา 3 เรือธง ‘แลนด์บริดจ์-เงินหมื่น-ซอฟต์พาวเวอร์’
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 25 มกราคม 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่รัฐสภา
โดยนายพิธา ให้สัมภาษณ์ถึงก้าวแรกที่เข้าสู่รัฐสภาว่า ไออุ่นที่คุ้นเคย รวมเวลาตั้งแต่เดือนก.ค.66 จนถึงวันนี้เป็นเวลา6เดือนแล้ว ที่ไม่ได้มีโอกาสมาแถลงข่าวที่สภาฯ ได้เห็นบรรยากาศสื่อมวลชน ประชาชน หรือนักศึกษาที่มาเยี่ยมสภาฯ ยังรู้สึกว่าสภาฯเป็นพื้นที่รวมตัวของสังคมไทย ทำให้คิดถึงบรรยากาศแบบนี้
@เสียดายเวลา 6 เดือนที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส.
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ตั้งใจผูกเนคไทสีฟ้ามาเป็นกิมมิคหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า คงไม่ได้เป็นกิมมิคอะไรเป็นพิเศษ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาเดินทางไปออกรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และได้มองซ้ายมองขวา จำได้ว่าตอนที่ชูกำปั้นในช่วงที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ได้ผูกเนคไทเส้นนี้ จึงนึกสนุกขึ้นมาว่าไหนๆก็ไหนแล้ว ออกไปด้วยแบบไหน ก็กลับมาด้วยแบบนั้น คิดว่าออกไปทัวร์แบบอ้อมแต่เป้าหมายในการเดินทางก็ทำต่อ ถึงแม้มันจะหายไป6เดือนก็ตาม
เมื่อถามว่าเสียดายหรือไม่กับ 6 เดือนที่หายไป นายพิธา กล่าวว่า เวลาที่เสียไปถือว่าเสียดายอย่างเป็นรูปธรรม เช่น โอกาสในการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่2 ที่ไม่อาจมีใครบอกได้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร หรือถ้ามีครั้งที่ 2แล้วมันจะมีครั้งที่ 3หรือไม่ แต่การบริหารจัดการได้ว่า 6เดือนที่หายไป ก็มีไปพบปะประชาชน และทำงานร่วมกับสส.ในการลงพื้นที่ ฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเสียดาย
“ภารกิจแรกในการกลับมาเป็นสส. ผมจะเข้าพูดคุยกับสส.ของพรรค รวมถึงนักศึกษา ประชาชนที่มาเยี่ยมสภาฯ เราก็จะเข้าไปพูดคุยเสียหน่อย และจะหาจังหวะเดินเข้าห้องประชุมใหญ่เพื่อไม่ให้ขัดจังหวะเพื่อนสส.ที่กำลังอภิปรายอยู่ ขณะที่ในวันพรุ่งนี้ผมเตรียมที่อภิปรายเรื่องการบริหารจัดการขยะ และจะแถลงแผนงานของพรรคก้าวไกลว่ามีเป้าหมายอย่างไรต่อไป การทำงานของพรรคในเชิงปฏิบัติการคืออะไร ประชาชนจะได้มีส่วนร่วมได้” นายพิธากล่าว
@น้อมรับเคสละเมิดทางเพศ ขอปรับปรุงให้ดีขึ้น
เมื่อถามอีกว่า ในช่วงที่หายไป 6 เดือนเกิดปัญหาเรื่องคุกคามทางเพศภายในพรรค รวมถึงเรื่องอื่นๆจนเกิดข้อครหา จะแก้ไขปัญหาอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ต้องยอมรับด้วยความเสียใจ และต้องขอโทษประชาชน แต่ในช่วงสถานการณ์นั้น ส่วนตัวไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ว่านายชัยธวัช ตุลาธน เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ไม่อยากเป็นสถาบันที่มีหัวหน้าพรรค2คน ก็ต้องรู้ที่ของตัวเองว่าในขณะนั้นเป็นที่ปรึกษา ก็คอยให้คำปรึกษากับนายชัยธวัช พูดคุยกันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะในมุมป้องกันไม่ให้สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอย่างไร หรือการรักษาเมื่อเหตุเกิดขึ้นแล้วต้องตอบสนองให้ไว จะเรียนรู้จากความผิดพลาดปรับปรุงโดยไม่ได้แก้ตัว และยอมรับว่าเราต้องพัฒนากันอีกเยอะ แต่ประชาชนก็สัมผัสได้ถึงพัฒนาการ และความเป็นสถาบันทางการเมืองของเรา
@ไม่เอาคืน ‘เรืองไกร’
ส่วนจะมีการดำเนินคดีกลับกับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่ร้องเรื่องหุ้นสื่อไอทีวีหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่มี เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วในอดีต ตอนนี้จะโฟกัสอยู่กับปัจจุบัน ใช้สมาธิ ทรัพยากร และเวลากับการทำงานปัจจุบัน รวมถึงอนาคตที่จะถึงตามแผนงานที่จะแถลงในวันพรุ่งนี้(26ม.ค.)
@แย้ม เม.ย.นี้ ประชุมใหญ่พรรค
เมื่อถามว่าจะมีโอกาสกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค และผู้นำฝ่ายค้านหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ต้องแยกเป็น 2 ส่วน 1.เป็นไปตามกระบวนการที่จะมีการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคในเดือนเม.ย.นี้ และต้องผ่านการคัดเลือกจากกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.)ชุดใหม่ รวมถึงการนำเสนอในที่ประชุม หรือสมาชิกโหวต และ2.ตนไม่ได้ยึดติดตำแหน่ง นายชัยธวัชก็ทำหน้าที่ได้ดี และทำงานอย่าวแหลมคม เป็นตัวเอง ทั้งตนและนายชัยธวัช ไม่ได้มีใครยึดติดในตำแหน่งทั้งคู่ และทุกคนในพรรค
กับคำถาามว่า มีโอกาสเลื่อนประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคให้เร็วขึ้นเพื่อประชุมวาระเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีเหตุจำเป็นอะไร คิดว่าเดือนเม.ย.นี้เหมาะสม กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ทำงานครบ4ปีตามวาระก็ต้องมีการเปลี่ยน ต้องแจ้งให้ชัดว่าการประชุมฯไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีของตน
@ไม่ค้านรัฐบาลทุกเรื่อง-จับตา 3 นโยบายเรือธง
เมื่อถามอีกว่า มีข้อควรระวังอะไรให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ส่วนตัวยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง และไม่ได้ค้านทุกเรื่อง ค้านเฉพาะสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือค้านเพื่อจะแนะนำ และยังเชื่อว่ามีวาระเพื่อประชาชนอีกมากมาย โดยไม่ต้องคำนึงว่ามาจากพรรคไหน เช่น เรื่องสมรสเท่าเทียม หรือเรื่องพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด ยังเชื่อว่ายังทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ได้
ขณะที่โครงการแลนด์บริดจ์ นายพิธา กล่าวว่า จะจับตาเป็นพิเศษ เพราะในช่วงที่ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ได้สังเกต ว่าโครงการเรือธงของรัฐบาลมี 3 โครงการ ได้แก่ 1. ดิจิทัลวอลเลต 2. โครงการแลนด์บริดจ์ 3. ซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งมีหลายเรื่องที่เห็นตรงกัน แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่เราต้องพูดคุยกันเป็นพิเศษ จะต้องมองในมุมกว้างและลึก และดูว่าทางเลือกและเป้าหมายคืออะไร
@สะกิดรัฐบาล อย่ามองแต่แจกเงิน
ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเลต นายพิธา กล่าวว่า มีความเห็นว่าประชาชนเดือดร้อนพอสมควร เศรษฐกิจโตช้า ซบเซามาเป็นเวลานาน ธนาคารกสิกรวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจอาจจะโตช้าในรอบ 10 ปี ซึ่งไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลในชุดปัจจุบันที่เพิ่งเข้ามาบริหารเพียง 6 เดือน แต่เป็นสิ่งที่เป็นปัญหามาจากการเมืองไทยที่สูญหายมากว่า 10 และไม่มีการปรับโครงสร้างทำให้ประเทศไทยโตช้ามาก แต่ขณะเดียวกันก็กังวลว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ด้วยการใช้งบประมาณระยะยาวทำให้ไม่มีพื้นที่การคลัง ในการแก้ไขปัญหาระยะยาว หรือพื้นที่ในแบบอื่นก็ไม่ได้เป็นทางที่เหมาะสม
“เพราะฉะนั้นอยากชวนรัฐบาลคิดแผน 2 ในสิ่งที่หาเสียงมาแต่ไม่ผ่าน อยากให้ลองคิดว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานรากขึ้นมา อย่าดูถูกรายละเอียดและโครงการเล็กๆน้อยๆ พอมาทำรวมกันเกิดพลังเศรษฐกิจจะระเบิดขึ้นมา ไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการแจกเงินผ่านดิจิทัลฯ จากบนลงล่างอย่างเดียว ล่างขึ้นบนก็อาจจะสามารถช่วยให้ตรงจุด เมื่อมารวมกันก็จะเกิดเศรษฐกิจที่ดีเช่นเดียวกัน และประหยัดงบประมาณ ไม่ต้องกู้ และไม่ต้องสร้างภาระการคลังเพิ่มขึ้น พอมาอภิปรายงบประมาณก็จะน้อยลงทุกปีๆ” นายพิธา กล่าว
สื่อมวลชนถามต่อถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดฟังคำวินิจฉัยในคดีนโยบายแก้ ม.112 ของพรรคก้าวไกล มีความกังวลบ้างหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เหมือนตอนคดีความรู้สึกเหมือนตอนคดีไอทีวี แยกแยะได้ว่าอะไรควบคุมได้หรือไม่ได้ ทั้งนี้ ส่วนที่เราควบคุมได้เราก็ได้ทำเต็มที่
เมื่อถามว่าในฐานะฝ่ายค้านมั่นใจหรือไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะมาตอบคำถามด้วยตัวเอง นายพิธา กล่าวว่า คิดว่าเวลาที่จะคาดหวังอะไรกับใคร ก็ต้องนำมาใช้กับตัวเองด้วย วันหนึ่งที่เข้าไปเป็นรัฐบาลเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องกลับเข้ามาตอบกระทู้ด้วยตัวเอง ก็หวังว่าถ้าเป็นบรรทัดฐานที่วางไว้ให้กับตัวเองก็จะคาดหวังสิ่งนี้กับคนอื่นเช่นเดียวกัน
@อุบแผนอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล นายพิธา กล่าวว่า ถ้าตอบฝั่งรัฐบาลก็รู้หมด ตอนนี้มีข้อมูลเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านช่องทางดิจิทัล และการลงพื้นที่ก็จะมีคนนำข้อมูลมาให้ในเรื่องเกี่ยวกับความประพฤติมิชอบ เรื่องคอร์รัปชั่น ความล้มเหลวในการใช้งบประมาณแผ่นดิน ก็จะเตรียมข้อมูลไปเรื่อยๆ และจะดูจังหวะอีกทีเพื่อความเหมาะสมว่าจะใช้บาซูก้าเลยหรือจะใช้แค่แนวรบแบบอภิปรายผ่านมาตรา 151 152 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 คงต้องดูจังหวะอีกครั้ง ยืนยันว่าการทำงานของฝ่ายค้านไม่ใช่เพื่อล้มรัฐบาลอย่างเดียว แต่เพื่อเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและภาษีของประชาชนเป็นหลัก
@ไม่ทำการเมืองฉาบฉวย เน้นลงลึก
เมื่อถามว่ากลับมาครั้งนี้จะสร้างสีสันให้สภาในการเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า คงเอาสาระเป็นหลัก สีสันเป็นรอง เพราะหมดเวลาทำการเมืองแบบวาทกรรมฉาบฉวย เน้นการทำงานลงลึก และทำงานเรื่องสาระ ที่สำคัญเราจะทำให้เรื่องที่เป็นสาระแล้วประชาชนคนธรรมดาทั่วไปเข้าใจได้อย่างไร ถือเป็นศิลปะของคนเป็นผู้แทนฯ ที่จะนำเอาเรื่องยากๆ เช่น ญัตติ AI ที่เกี่ยวของกับปัญญาประดิษฐ์ มันเกี่ยวข้องกับชาวบ้านและคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างไร ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่จะต้องใช้ศิลปะในการนำเสนอ สาระย่อมสำคัญกว่าวาทกรรม
ทั้งนี้ ก่อนที่นายพิธาจะเดินออกจากวงสัมภาษณ์ไป ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า เข้าสภาฯ รอบนี้ ไม่ออกแล้วใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวติดตลกว่า “ถ้าจะออก ก็ออกไปทำเนียบรัฐบาลอย่างเดียว”
อ่านประกอบ