'วิโรจน์' ชำแหละงบ ศธ. จวกจัดงบไม่ตรงวิกฤติการศึกษา-โรงเรียนขนาดเล็ก แนะลดงบไม่จำเป็น ตัดโครงการฝากเลี้ยง หนุนเด็กตกหล่นกลับเข้าระบบ ห่วงผลสอบ PISA ไทยรั้งท้าย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2567 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายถึงงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ และวิกฤตทางการศึกษาในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระแรก
นายวิโรจน์ กล่าวถึงการสอบ PISA หรือโครงการประเมินผลนักเรียนระดับนานาชาติวัดทักษะและความสามารถของนักเรียนอายุ 15 ปี ด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยจัดสอบทุก 3 ปี เพื่อประเมินค่าเฉลี่ยของคุณภาพคน และขีดความสามารถในการแข่งขันของพลเมืองแต่ละประเทศ สะท้อนคุณภาพการศึกษา และกลไกของรัฐในการพัฒนาพลเมืองว่าล่าสุดผลคะแนน PISA ปี 2565 ของประเทศไทย อยู่ในกลุ่มรั้งท้าย ได้คะแนนต่ำสุดในรอบ 20 ปี ประเทศไทยเข้าสู่การทดสอบ PISA ตั้งแต่ปี 2543 ปัจจุบันมีแต่สาละวันเตี้ยลงโงหัวไม่ขึ้น ผลต่างระหว่างประเทศไทยกับประเทศในกลุ่มที่พัฒนาแล้วยิ่งทิ้งห่างไปเรื่อยๆ ไม่เคยนำเอาผลการสอบครั้งที่แล้วมาปรับปรุงระบบการศึกษา
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันผ่านมา 24 ปี ประเทศไทยจมปลักอยู่กับปัญหาเดิม รัฐบาลมองปัญหากลายเป็นเรื่องปกติ หลอนว่าระบบการศึกษาเป็นอัตลักษณ์ของประเทศถือเป็นวิกฤตของระบบการศึกษาไทย และเมื่อฟังคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 14 ก.ย.2566 ที่ระบุ คงไม่เทียบมาตรฐานกับประเทศอื่นดีกว่า ของเราก็เป็นตัวของเราเอง ดังนั้น เมื่อคนระดับรัฐมนตรีมองว่าไม่ได้เป็นปัญหา แต่เป็นสไตล์ จึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดงบประมาณปี 2567 ของกระทรวงศึกษาธิการ ถึงเป็นงบประมาณแบบเดิม
"ทุกวันนี้การศึกษาไทยกำลังเดินหลงทาง มองไปข้างหน้าก็ไม่เจอใคร มองไปข้างหลังก็ไม่เจอคน มองซ้ายเจอฮวงซุ้ยมองขวาเจอป่าช้า แต่ก็ยังจะเดินหน้าต่อไป ยิ่งเดินต่อเสบียงยิ่งร่อยหรอ งบประมาณถูกใช้ไปเรื่อยๆ ไม่สามารถสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาได้" นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า เราอยู่ในยุคที่ รมว.ศึกษาธิการ ชื่อ เพิ่มพูน แต่การศึกษาไทยถดถอยล้าหลัง เมื่อเปรียบเทียบคะแนน PISA ของประเทศสิงคโปร์ ทั้งการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งคะแนนอยู่เหนือกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และมีแนวโน้มจะทิ้งห่างประเทศที่พัฒนาแล้วไปเรื่อยๆ ส่วนประเทศเวียดนามเทียบเท่ามีคะแนนกับประเทศกลุ่มกลุ่มที่พัฒนาแล้ว ดังนั้น ผลการทดสอบ PISA ของไทยที่ตกต่ำมาโดยตลอด สะท้อนว่าพลเมืองของไทยอายุตั้งแต่ 17 - 39 ปี สู้พลโลกไม่ได้เลย เมื่อเอาผลคะแนนของแต่ละโรงเรียนมาวิเคราะห์โรงเรียนสาธิตเทียบกับโรงเรียนสังกัด สพฐ.จะเห็นถึงความเหลื่อมล้ำ เพราะโรงเรียนสาธิตสามารถออกแบบหลักสูตรได้เอง บูรณาการหลากหลายวิชาเข้าด้วยกัน
ทำให้บริหารเวลาเรียนได้มีประสิทธิภาพการเรียนรู้เปิดกว้าง ขณะที่โรงเรียนสังกัด สพฐ.เต็มไปด้วยอำนาจนิยม และการบูลลี่ ดึงเด็กออกมานอกห้องเรียน เพื่อทำกิจกรรมสร้างหน้าตาให้กับผู้บริหารสถานศึกษารอคนจากส่วนกลางมาตัดริบบิ้น อย่างไรก็ตาม จากผลวิจัยพบว่าการบูลลี่ในโรงเรียนส่งผลเสียต่อการสอบ PISA ทำให้ผลคะแนนในวิชาวิทยาศาสตร์ตกต่ำลง 35 - 55 คะแนน ซึ่งเมื่อดูในงบประมาณปี 2567 กลับไม่พบว่าจะให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหา อำนาจนิยมและการบูลลี่ในโรงเรียน
นายวิโรจน์ กล่าวว่า เด็กไทยมีเวลาเรียนเยอะติดอันดับโลกประมาณ 56 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือตกวันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน หักลบกับเวลานอน 8 ชั่วโมงก็เท่ากับเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิต สะท้อนว่าเวลาเรียนในโรงเรียนไร้คุณภาพ อย่างไรก็ตาม งบดำเนินงานและรายจ่ายอื่น ถือเป็นปัญหาใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการ
หากเทียบกับกระทรวงสาธารณสุขกับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ถือเป็นการปฏิรูประบบจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศไทย ใช้งบประมาณและรายจ่ายอื่นไปกับ 3 เรื่อง ได้แก่ ส่งเสริมการป้องกันโรค เพิ่มศักยภาพทักษะทางวิชาชีพ และยกระดับมาตรฐานของสถานพยาบาล
แต่เมื่อดูสัดส่วนของงบดำเนินงานและงบรายจ่ายอื่นของกระทรวงศึกษาธิการเทียบกับกระทรวงสาธารณสุขพบว่าสูงกว่าเป็นเท่าตัว ปี 2563 กระทรวงสาธารณสุขอยู่ที่ 8.41% ส่วนกระทรวงศึกษาธิการอยู่ที่ 19.33% คิดเป็นมูลค่าเงิน 15,027 ล้านบาท และในปีต่อมาก็มีมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านบาท ทำให้กระทรวงศึกษาธิการเจ็บกระดองใจพยายามปรับลดงบดำเนินงานและงบรายจ่ายอื่นในปี 2567 ซึ่งในปีนี้มีการปรับลดงบลดลงมาเหลือ 13.14%
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีงบประมาณในหลายโครงการของกระทรวงศึกษาธิการที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนคำนวณว่ามีวงเงินต้องสงสัย 8,256 ล้านบาท เชื่อว่าสามารถปรับลดงบดำเนินงานและงบรายจ่ายอื่นได้อีก โดยเฉพาะโครงการที่มีภารกิจซ้ำซ้อน โครงการที่สร้างภาระงานให้กับครูผู้สอน โครงการที่เต็มไปด้วยการว่าจ้างที่ปรึกษาซึ่งมียอดรวม 2,117 ล้านบาท โครงการเหล่านี้มักจะตั้งชื่อให้เป็นคนดี เพื่อป้องกันการตัดงบ ใครที่ตัดงบประมาณก็จะถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี ไม่เห็นแก่เด็กตาดำ ๆ
แต่เมื่อดูในรายละเอียดจะทราบว่าโครงการเหล่านี้เป็นภาระแก่ครูและนักเรียน เช่น โครงการสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันยาเสพติด โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาโครงการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมและธรรมาภิบาลในสถานศึกษา และโครงการสร้างเสริมสร้างระเบียบวินัยและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ซึ่งแค่อ่านชื่อยังสำลักในความดี โดยสิ่งต่างๆ เหล่านี้สามารถทำได้ผ่านวิชาโฮมรูม หรือสอดแทรกไปในวิชาสังคมศึกษาหน้าที่ พลเมือง สุขศึกษา แนะแนว โดยไม่จำเป็นต้องแยกโครงการเพื่อถลุงบประมาณ
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันยังมีโครงการเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น โครงการบริหารจัดการการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โครงการพัฒนาศึกษาตามศักยภาพในพื้นที่ โครงการพัฒนาสังคมพหุวัฒนธรรม ซึ่งโครงการเหล่านี้ล้วนมีกองทัพหรือ กอ.รมน.ดำเนินการอยู่แล้ว เป็นภารกิจซ้ำซ้อน เป็นงบที่ กอ.รมน.เอามาฝากเลี้ยงไว้หรือไม่ ทั้งยังมีวิกฤตโรงเรียนขนาดเล็ก มีนักเรียนน้อยกว่า 120 คน สพฐ.ระบุว่าในปี 2566 มีอยู่ 14,996 แห่ง จากโรงเรียนทั้งหมด 29,312 แห่ง และยังมีโรงเรียนที่กำลังเล็กอีก 7,000 แห่ง
โรงเรียนขนาดเล็กได้งบประมาณน้อยกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ ประสบปัญหาขาดแคลนสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ อาคารสถานที่ขาดการดูแล กระทบกับสวัสดิภาพของเด็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้โรงเรียนขนาดเล็กยังมีปัญหาครูไม่ครบชั้น ครูหนึ่งคนต้องสอนหลายวิชา นักเรียนหลายคนต้องเรียนกับทีวี โดยครูเอาใจใส่ไม่ทั่วถึง เพราะครูไม่สามารถสอนแบบเชื่อมจิตได้
"กระทรวงศึกษาธิการไม่เคยคิดแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กอย่างจริงจังเหมือนป่วยเป็นโรคร้าย แต่ให้กินแค่ยาพาราปล่อยให้ลุกลาม และตายไปเองตามยถากรรม การควบรวมโรงเรียนไม่เคยประสบความสำเร็จ มีแนวโน้มควบรวมน้อยลงราวกับว่าไม่มีปัญหา ซึ่งหากควบรวมตามยถากรรม คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลา 91 ปี กว่าจะแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กได้ และต้องถูกประจานผลคะแนน PISA ในเวทีโลกอีก 30 รอบ" นายวิโรจน์ ระบุ
นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า หากรัฐบาลของ นายเศรษฐา ทวีสิน ใส่ใจกับการบริหารงบประมาณและแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กจะมีงบที่จัดสรรใหม่ได้ถึง 15,102 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสามารถนำไปจัดสรรงบอุดหนุนเฉพาะกิจ 4,000 ล้านบาทต่อปี ให้กับ อบจ.ทั่วประเทศ ให้บริการรถรับ - ส่งนักเรียนภายในจังหวัด เพิ่มงบประมาณให้ กสศ.สนับสนุนให้เด็กยากจนพิเศษและคนที่ตกหล่นทางการศึกษา ซึ่งใช้งบประมาณจัดสรรประมาณ 6,600 ล้านบาทต่อปี และยังเหลือให้จัดสรรอีก 4,502 ล้านบาทต่อปี
"หากยอมจำนนให้กับระบบอำนาจกดขี่ ยอมให้หลักสูตรที่ไม่ได้ปรับปรุงเป็นหลักสูตรล้างสมอง ขโมยเวลาชีวิตสุดท้ายเด็กต้องเติบโตเป็นพลเมืองที่ไม่กล้าคิด ไม่กล้าฝัน ไม่กล้าตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจเป็นได้แค่บ่าวไพร่ที่คอยทำงานตามคำสั่ง แก่ตัวและตายจากไปในประเทศที่ต้องสาป ผมขออภิปรายเรื่องวิกฤติทางการศึกษาในสภาฯ เป็นครั้งสุดท้าย ผม วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ตายไปยังไงก็เป็นเถ้าถ่าน ขอไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.งบฯปี67" นายวิโรจน์ กล่าว
'พริษฐ์' ชงรื้อโครงสร้าง ศธ. แนะต้องเพิ่มงบอุดหนุนเด็กยากจนที่กำลังหลุดจากระบบการศึกษา
เช่นเดียวกับ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ในประเด็นการจัดงบประมาณด้านการศึกษา ว่า ประเทศไทยลงทุนงบประมาณด้านการศึกษา และทรัพยากรจำนวนมาก แต่ยังพบวิกฤตด้านการศึกษาในประเด็นประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร โดยตนเห็นด้วยกับการเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษา แต่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพด้านการศึกษา ทั้งนี้ งบฯ 67 ตนมองว่า ควรทบทวนโครงการรวมมิตรความดี เช่น โครงการเกี่ยวกับต่อต้านยาเสพติด 125 ล้านบาท และมีรายการใหม่ ส่งเสริมการสร้างคนดีทางศาสนาที่ถูกต้อง 273 ล้านบาท ทั้งนี้ ไม่ใช่ตนต่อต้านการสร้างศีลธรรม สุจริต แต่ต้องทบทวนในประเด็นที่เป็นปัญหาเกี่ยวข้อง เช่น แปะเจี๊ยะ, ไม่ลงโทษครูที่ทำผิดจริยธรรมหรือกฎหมาย เป็นต้น
นายพริษฐ์ อภิปรายด้วยว่า งบฯนโยบายด้านการศึกษาที่ตนอยากเห็น คือ หลักสูตรการศึกษาฉบับใหม่ที่เน้นสมรรถนะทางการศึกษา แทนหลักสูตรการศึกษาฉบับเก่า ที่ใช้ต่อเนื่องมาถึง 20 ปี ทั้งนี้ ตนขอเรียกร้องให้นายกฯ ยืนยันถึงการจัดทำหลักสูตรฉบับใหม่ภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบางสำนักพิมพ์ ขณะเดียวกัน ในงบฯ ปี 67 พบว่า รัฐบาลปรับลดงบฯลงทุนจำนวนมาก คือ อาคารสำหรับเด็กด้อยโอกาสและพิการที่ลดลงถึง 45% นอกจากนั้น ยังพบว่า เงินอุดหนุนด้านการศึกษามีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 24% ในจังหวัดของ ส.ส.เขตที่อยู่ในสังกัดพรรคเดียวกันกับรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงศึกษาธิการ
“หากรัฐบาลรับฟังข้อเสนอของฝ่ายยค้าน การแก้วิกฤตการศึกษาต้องผ่าตัดโครงสร้างใหญ่ คือ เรื่องบุคลากร คืนครูให้ห้องเรียน รวมถึงปฏิรูปโครงสร้างกระทรวง ลดความซ้ำซ้อน และกระจายอำนาจ, จัดทำหลักสูตรการศึกษาใหม่, กระจายงบลงทุนด้านการศึกษาให้กับจังหวัด ขณะที่เงินอุดหนุนนั้น ต้องเพิ่มให้กับเด็กยากจนที่มีแนวโน้มหลุดจากการศึกษา วิกฤตการศึกษาที่เผชิญแก้ไม่ได้จากการจัดงบประมาณแบบเดิมๆ แต่ต้องผ่าตัดใหญ่ รื้อโครงสร้างโดยไม่ต้องรอให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลา เพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้ลูกหลาน” นายพริษฐ์ อภิปราย