ศาลฎีกา อ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง 'จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ' คดีละเว้นปฏิบัติหน้าที่ไปปราศรัยในงานชุมนุมกลุ่ม นปช. แบ่งแยก ปท.
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2566 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง อ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำอม.อธ.8/2565 ที่ ป.ป.ช. โจทก์ ยื่นฟ้อง นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทย อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กรณีไปกล่าวปราศรัยงานชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ยอมรับข้อเสนอของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. เป็นเหตุให้กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางเข้ามา กทม. และปิดล้อมสำนักงาน ป.ป.ช. มีการนำผ้าไวนิล ปรากฏข้อความลักษณะแบ่งแยกประเทศไทยไปติดตามท้องที่ต่าง ๆ
คำพิพากษาตัดสินยืนตามศาลฎีกาชั้นต้น ยกฟ้อง นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยนายจารุพงศ์ไม่ได้เดินทางมารับฟังคำพิาพากษาที่ศาลด้วยตนเอง ศาลจึงอ่านคำพิพากษาลับหลัง
โดยองค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมพิจารณาคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและคำร้องขออุทธรณ์ของป.ป.ช.แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ใช้ตำแหน่งกระทำการที่ไม่ชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบ แต่ก็ต้องดูว่าจำเลยมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติแต่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น
เห็นว่า มีการรายงานเหตุการณ์ จากนายธงชัย (ไม่ทราบนามสกุล) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบในจังหวัดนครราชสีมา มีการบันทึกนำเสนอรายงานเหตุการณ์การชุมนุมของนปช.ให้จำเลยทราบ และมีการจัดตั้งคณะกรรมการที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย
ซึ่งคณะกรรมการดังกล่วมีอำนาจสั่งการให้พนักงานตำรวจเข้ารักษาความสงบเรียบร้อยและได้มีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความสงบเรียบร้อยเเล้ว มีการสั่งการเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแล้ว โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากตัวจำเลย
ได้ความปรากฏว่าในการชุมนุมของนปช. เป็นสถานที่ปิด ไม่ปรากฏว่าการชุมสร้างความเดือดร้อนหรือก่อให้เกิดความไม่สงบ แต่การการชุมนุมดังกล่าวกลับเป็นการชุมนุมโดยสงบเรียบร้อย ตามสิทธิและเสรีภาพ จึงไม่มีเหตุที่ตำรวจจะเข้าไปขวางการชุมนุม
ส่วนที่จำเลยขึ้นปราศรัยมีข้อความยอมรับข้อเสนอของกลุ่มนปช. และโจมตีการชุมนุมของกปปส. องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์เห็นว่า สถานการณ์บ้านเมืองขณะนั้นมีการชุมนุมแตกแยกกันเป็น 2 ฝ่าย มีทั้งกลุ่มนปช.และกปปส. ซึ่งนอกจากจำเลยจะมีตำแหน่งเป็นรวต.กระทรวงมหาดไทยแล้ว จำเลยยังเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคที่จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับกลุ่ม กปปส. และการมาชุมนุมและปราศรัยของจำเลยเป็นช่วงเวลาเลิกงานจึงเป็นการชุมนุมในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยไม่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ที่จำเลยมี
อีกทั้งเมื่อพิจารณาถ้อยคำปราศรัยของจำเลย จำเลยไม่ได้กล่าวยั่วยุ ปลุกระดมแต่ที่จำเลยปราศรัยมีเนื้อหาลักษณะดังกล่าวมาจากความโกรธกลุ่มกปปส. ซึ่งจำเลยเชื่อว่าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ที่โจกท์อุทธรณ์มานั้น องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษาฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่มีการฟ้องว่าจำเลยในฐานะรักษาการรมต.มหาดไทยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 เห็นว่า พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มิได้ให้อำนาจ ป.ป.ช. ในการไต่สวนข้อหาความผิดตามมาตรา 116 ซึ่งข้อกล่าวหานี้พนักงานอัยการเคยมีคำสั่ง ไม่ฟ้องเด็ดขาด ซึ่งกฎหมายห้ามมิให้มีการดำเนินคดีในข้อหาที่มีการฟ้องไปแล้ว พิพากษายืนยกฟ้อง
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
'จารุพงศ์'รอด! ศาลฎีกานักการเมืองฯ ยกฟ้องคดีละเว้นปฏิบัติหน้าที่ปราศรัยแบ่งแยกปท.