ผลสำรวจฯชี้ ‘ครูโคราช’ 95% เหลือเงินเดือนใช้ไม่ถึง 30% หลังชำระหนี้ ขณะที่มีนับร้อยราย เงินเดือน ‘ติดลบ’ พร้อมเผย 2 วิธี ‘สหกรณ์เจ้าหนี้’ บังคับหัก ‘เงินหลังซอง’
.........................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ เครือข่ายประชาสังคมแก้หนี้ครูจังหวัดนครราชสีมา ได้สำรวจปัญหาหนี้สินครู โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างครูและครูบำนาญในพื้นที่ จ.นครราชสีมา รวม 364 ราย พบว่า มีครูเพียง 17 คน หรือคิดเป็น 3.4% เท่านั้น ที่เหลือเงินเดือนสุทธิหลังหักชำระหนี้เกินกว่า 30% ของเงินเดือนที่ได้รับ ส่วนครูที่เหลืออีก 347 ราย เหลือเงินเดือนสุทธิหลังหักชำระหนี้ไม่ถึง 30% ในขณะที่ครูส่วนใหญ่ได้รับเงินเดือนสุทธิติดลบ
“มีครูเพียง 17 ราย จากทั้งหมด 364 ราย หรือคิดเป็น 4.6 % เท่านั้น ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาใน จ.นครราชสีมา มีการดำเนินการที่ถูกต้องตามระเบียบปี 51 ในขณะที่ส่วนที่เหลือมากกว่า 95% สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ไม่ได้บังคับใช้ระเบียบปี 2551 อย่างจริงจัง และเป็นที่น่ากังวลใจว่ามีครูถึง 124 ราย หรือ 34% ของทั้งหมด ที่เงินเดือนหรือเงินบำนาญติดลบ หรือไม่มีเงินเหลือให้ครูใช้ดำรงชีพแม้สักบาทเดียวหลังหักชำระหนี้” เครือข่ายฯ ระบุ
เครือข่ายประชาสังคมแก้หนี้ครูฯ ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้กลุ่มครูดังกล่าว เหลือเงินเดือนใช้ในการดำรงชีวิตไม่ถึง 30% เพราะสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ไม่ได้บังคับใช้ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วย การหักเงินเดือนเงินบําเหน็จบํานาญข้าราชการเพื่อชําระหนี้เงินกู้ให้แก่สวัสดิการภายในส่วนราชการและสหกรณ์ พ.ศ.2551 (ระเบียบปี 2551) และไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางเมื่อปี 2562 ทำให้เกิดปัญหา ‘30% ทิพย์’
เครือข่ายประชาสังคมแก้หนี้ครูจังหวัดนครราชสีมา ยังยกตัวอย่างชีวิตจริงของครูเกษียณรายหนึ่ง ว่า ณ เดือนมี.ค.2566 ครูบำนาญรายนี้ได้รับเงินบำนาญ 54,927 บาท/เดือน แต่ได้รับเงินมาใช้จริงหลังหักชำระหนี้สหกรณ์ฯและเจ้าหนี้อื่นๆเพียง 1,306.67 บาท คิดเป็นเพียง 2.3% ของเงินบำนาญที่ได้รับเท่านั้น หรือคิดเป็นเงินสำหรับใช้ดำรงชีพเฉลี่ยเพียง 43.5 บาทต่อวัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการไม่ปฏิบัติระเบียบปี 2551
เครือข่ายประชาสังคมแก้หนี้ครูฯ ระบุด้วยว่า หากกระทรวงศึกษาธิการและ สพท. มีการบังคับใช้ระเบียบปี 2551 อย่างจริงจัง จะนำไปสู่การแก้ปัญหาหนี้สินครูอย่างเป็นรูปธรรม เพราะจะทำให้เจ้าหนี้ทุกรายเข้ามาร่วมกันปรับโครงสร้างหนี้สินให้กับครู เช่น การลดค่างวดรายเดือน การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ หรือแม้กระทั่งการลดดอกเบี้ย ซึ่งทำให้ครูเหลือเงินเดือนใช้ในการดำรงชีวิตไม่น้อยกว่า 30% ของเงินเดือนหรือเงินบำนาญที่ได้รับ
@ครูถูกหัก ‘เงินหลังซอง’ ทำให้เงินเหลือใช้ไม่ถึง 30%
แกนนำเครือข่ายประชาสังคมแก้หนี้ครูจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม กล่าวกับสำนักข่าวอิศราว่า ปัญหาครูถูกหักเงินเดือนจนเหลือเงินไม่พอใช้ในการดำรงชีวิต เป็นปัญหาใหญ่มากในพื้นที่ จ.นครราชสีมา อย่างไรก็ตาม ล่าสุดในช่วงกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา นายภูมิสิทธิ์ วังคีรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาจังหวัดนครราชสีมา เพื่อหารือในเรื่องนี้
“ได้มีการสะท้อนปัญหาหนี้สินครูให้รองผู้ว่าฯได้รับทราบแล้ว ซึ่งรองผู้ว่าฯได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สหกรณ์ฯ และสถาบันการเงิน ไปหารือกันว่า จะทำอย่างไรที่ให้ครูมีเงินเหลือใช้ไม่น้อยกว่า 30% หลังการหักเงินเดือนชำระหนี้ และจะนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 24 ก.ค.นี้ เพื่อติดตามเรื่องนี้ โดยรองผู้ว่าฯย้ำว่า จะทำให้การแก้ปัญหาหนี้สินครูในโคราชเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมให้ได้” แกนนำเครือข่ายฯระบุ
แกนนำเครือข่ายฯรายนี้ ระบุด้วยว่า แม้ว่าปัจจุบัน สพท.และสหกรณ์ออมทรัพย์ครูหลายแห่ง จะมีการปฏิบัติตามระเบียบปี 2551 คือ ทำให้ครูมี ‘เงินหน้าซอง’ หรือได้รับเงินเดือนสุทธิหลังการหักชำระหนี้ไม่น้อยกว่า 30%
แต่ปรากฏว่า มีหลายกรณีที่เมื่อเงินเดือนครูถูกโอนเข้าไปยังบัญชีธนาคารฯของครูแล้ว ธนาคารฯจะหักเงินจากบัญชีของครู แล้วนำส่งให้สหกรณ์เจ้าหนี้ฯ เพื่อนำไปชำระหนี้ในส่วนที่ครูยังชำระหนี้ไม่ครบ เนื่องจากปัจจุบันสหกรณ์ฯและธนาคารฯมีการลงนาม MOU ร่วมกันว่า หากครูยังชำระหนี้สหกรณ์ไม่ครบตามจำนวน ให้ธนาคารฯหักเงินในบัญชีธนาคารของครูแล้วส่งให้สหกรณ์ และเงื่อนไขนี้ก็ถูกเขียนไว้ในสัญญาเงินกู้ที่ครูได้ลงนามในการกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ฯด้วย
นอกจากนี้ มีบางกรณี ที่ครูได้รับเงินหน้าซองไม่น้อยกว่า 30% ของเงินเดือนก็จริง แต่ครูจะต้องนำ ‘เงินหลังซอง’ ไปจ่ายคืนหนี้สหกรณ์ให้ครบตามจำนวน โดยสหกรณ์ฯจะมีการแจ้งกับครูว่า หากครูไม่นำเงินมาจ่ายหนี้ให้ครบตามจำนวน จะไม่ได้รับเงินปันผลจากสหกรณ์ และหากไม่นำเงินมาชำระหนี้ให้ครบภายใน 3 หรือ 6 เดือน สหกรณ์ฯก็จะให้ครูรายดังกล่าวพ้นจากการเป็นสมาชิกฯ ซึ่งหมายความว่า ครูรายนั้นจะต้องคืนหนี้ที่กู้ไปจากสหกรณ์ทั้งจำนวน
ก่อนหน้านี้ กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำ ‘โครงการแก้ปัญหาหนี้สินครู สร้างโอกาสใหม่ให้ครูไทย’ โดยกำหนดบทบาทหน้าที่ ‘สถานีแก้หนี้’ ว่า ให้สถานีแก้หนี้ปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ทุกรายให้มีเงินชำระหนี้ไม่เกิน 70% ของเงินเดือน และต้องทำให้ครูมีเงินเดือนคงเหลือสุทธิหลังหักชำระหนี้ไม่น้อยกว่า 30% และให้ปฏิบัติตามข้อ 7 ของระเบียบกระทรวงศึกษาฯว่าด้วย การหักเงินเดือนเงินบําเหน็จบํานาญข้าราชการเพื่อชําระหนี้เงินกู้ให้แก่สวัสดิการฯ พ.ศ.2551
@‘ก้าวไกล-7 พรรค’หารือปัญหา‘หนี้ กยศ.-หนี้ข้าราชการ’
ด้าน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล กล่าวภายหลังการประชุมร่วม 8 พรรคการเมือง เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ว่า ที่ประชุมได้หารือกันในเรื่องหนี้ กยศ. และหนี้ข้าราชการ
โดยเรื่องหนี้ กยศ. นั้น กฎหมายผ่านแล้ว แต่ยังไม่บังคับใช้ จึงต้องการให้มีการบังคับใช้โดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ มีการหารือถึงการสร้างแรงจูงใจในเรื่องค่าปรับ โดยการลดเบี้ยปรับลงมาเหลือ 0.25% จากปัจจุบัน 0.5% และไปเน้นที่เงินต้นมากกว่าดอกเบี้ย รวมทั้งการปรับระยะเวลาการผ่อนชำระ ส่วนหนี้ข้าราชการนั้น เป็นหนี้อีกก้อนที่มีความน่ากังวล เพราะมีข้าราชการที่เป็นหนี้ 3-4 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นครู 9 แสนคน และตำรวจ 8 หมื่นนาย เป็นต้น
“ข้อมูลที่ได้รับมา ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องข้าราชการครู หรือตำรวจ พอเงินเดือนออกมาปุ๊บก็ถูกตัด หักเงินในบัญชีเข้าสหกรณ์ฯเลย ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะมีเงินเดือนมากพอในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะพี่น้องตำรวจ 8 หมื่นกว่าคน พบว่า 21% พอเงินเดือนเข้ามาปุ๊บ ก็ถูกหักเงินเดือนเข้าสหกรณ์ปั๊บ ทำให้ไม่มีเงินเดือนเหลือเลย บางคนเหลือหลักร้อย ซึ่งเราเสนอว่าให้กรมบัญชีกลางคนทำข้อมูลตรงนี้ขึ้นมา และเมื่อหักแล้วจะต้องเหลือเงินเดือนไม่น้อยกว่า 30%
ขณะเดียวกัน จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ คล้ายๆหนี้ กยศ. คือ ยืดระยะมากขึ้น ให้แรงจูงใจการชำระหนี้ หากชำระหนี้เข้ามาเร็ว จะลดดอกเบี้ยให้ ให้หักหนี้เงินต้นมากกว่าหักดอกเบี้ย เพื่อจะได้จบหนี้ได้เร็วมากขึ้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของภาคเอกชน จึงไม่ได้เป็นการทำให้ผิดจริยธรรม หรือผิดวิธีในเรื่องการบริหารหนี้สินแต่อย่างใด โดยพี่น้องข้าราชการควรมีสิทธิที่จะได้รับการประนอมหนี้ บริหารหนี้เช่นนี้” นายพิธากล่าว