ครม.เห็นชอบ 'ประกันรายได้ชาวสวนยางฯ' เฟส 4 กว่า 7.6 หมื่นล้าน พร้อมอนุมัติโครงการสินเชื่อแปรรูปไม้ยาง 2 หมื่นล้าน ไฟเขียวดึงเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรหนุน ‘โครงการโคบาลชายแดนใต้’
.........................................
เมื่อวันที่ 28 ก.พ. น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 4 วงเงิน 7,643.86 ล้านบาท และมีมติอนุมัติโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์ ระยะที่ 2 วงเงินกู้ยืม 20,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี และค่าดำเนินการ รวมวงเงิน 604 ล้านบาท
สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 4 มีระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือน ม.ค.–ก.ย.2566 ระยะเวลาประกันรายได้รวม 2 เดือน คือ ต.ค.-พ.ย.2565 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ ต้องเป็นเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย ภายในวันที่ 30 มิ.ย.2565 และเป็นเกษตรกรที่ปลูกยางในพื้นที่มีเอกสารสิทธิเท่านั้น ซึ่งมีประมาณ 1.6 ล้านคน รวมพื้นที่สวนยางกรีดได้ 18.18 ล้านไร่
ส่วนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นๆยังคงเดิม อาทิ 1.เป็นสวนยางอายุ 7 ปีขึ้นไปที่เปิดกรีดแล้ว รายละไม่เกิน 25 ไร่ 2.ราคายางที่ประกันรายได้ มีดังนี้ ยางแผ่นดิบคุณภาพดี 60 บาท/กิโลกรัม น้ำยางสด (DRC 100%) 57 บาท/กิโลกรัม และยางก้อนถ้วย (DRC 50%) 23 บาท/กิโลกรัม 3.แบ่งสัดส่วนรายได้ เจ้าของสวน ร้อยละ 60 และคนกรีดร้อยละ 40 ของเงินค่าประกันรายได้
ทั้งนี้ ผลการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางที่ผ่านมา 3 ระยะ เริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.2562 มีวงเงินสะสมโครงการรวมทั้งสิ้น 46,682.88 ล้านบาท โดยสามารถช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางได้เฉลี่ยปีละ 1.4 ล้านคน
ส่วนโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์ ระยะที่ 2 นั้น เป็นการสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการแปรรูปไม้ยางและผลิตภัณฑ์ที่จดทะเบียนในประเทศไทย และมีผู้ถือหุ้นที่มีสัญชาติไทยมากกว่าร้อยละ 50 เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการรับซื้อไม้ยาง การดำเนินงานกิจการไม้ยาง และการขยายกำลังการผลิตและปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิตแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางพาราและผลิตภัณฑ์ โดยมีเป้าหมาย คือ 1.ลดพื้นที่ปลูกยาง จำนวน 200,000 ไร่ และ 2.ราคาไม้ยางไม่ต่ำกว่า 1,500 บาทต่อตัน
สำหรับการดำเนินโครงการฯที่ผ่านมา สามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบกิจการแปรรูปไม้ยางพาราที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจากสถานการณ์โควิด-19 ได้กว่า 38 บริษัท และสามารถดูดซับไม้ยางจากการโค่นต้นยางได้ 4.22 ล้านตัน จากเป้าหมายที่กำหนดไว้ 6 ล้านตัน
น.ส.รัชดา กล่าวว่า ที่ประชุมครม.ยังมีมติอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรให้กรมปศุสัตว์ยืมเพื่อใช้ดำเนินโครงการโคบาลชายแดนใต้ วงเงิน 1,566.20 ล้านบาท โดยกำหนดชำระคืนภายใน 7 ปี ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 มีระยะเวลาโครงการ พ.ศ.2565-2572
สำหรับโครงการโคบาลชายแดนใต้ แบ่งการดำเนินงานเป็น 3 ระดับ คือ 1.ระดับต้นน้ำ ส่งเสริมอาชีพเลี้ยงโคเนื้อให้กลุ่มวิสาหกิจโคไทยในหมู่บ้าน จำนวน 1,000 กลุ่ม ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา)
โดยให้กลุ่มวิสาหกิจโคไทยจัดทำคอกกลางในหมู่บ้านแห่งละ 1 คอก สำหรับเลี้ยงแม่โคพื้นเมืองกลุ่มละ 50 ตัว เพื่อผลิตโคลูกผสมไทยทาจิ และปลูกพืชอาหารสัตว์ เช่น หญ้าสยาม หญ้าแพงโกล่า หญ้าซิกแนล หญ้าเนเปียร์ และข้าวโพด จำนวน 20 ไร่ ประกอบด้วย ระยะนำร่อง เกษตรกร 60 กลุ่ม แม่โคพื้นเมือง 3,000 ตัว และระยะที่ 2 เกษตรกร 440 กลุ่ม แม่โคพื้นเมือง 22,000 ตัว และระยะที่ 3 เกษตรกร 500 กลุ่ม แม่โคพื้นเมือง 25,000 ตัว
2.ระดับกลางน้ำ จัดตั้งศูนย์ผลิตอาหารสัตว์ (Feed Center) 3.ระดับปลายน้ำ ส่งเสริมร้านตัดแต่ง แปรรูปและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อโค (Butcher Shop) จำนวน 5 แห่ง ใน 5 จังหวัดชายแดนใต้
สำหรับแผนชำระเงินคืนภายใน 7 ปี นั้น กรมปศุสัตว์จะนำเงินกู้ที่ได้รับคืนจากกลุ่มวิสาหกิจโคไทยที่เข้าร่วมโครงการ ส่งคืนกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร โดยเกษตรกรจะต้องคืนเงินต้นให้กรมปศุสัตว์ร้อยละ 25 เป็นจำนวน 4 งวด คือ ทุกสิ้นปีที่ 4 ปีที่ 5 ปีที่ 6 และปีที่ 7 ส่วนที่มาของรายได้กลุ่มวิสาหกิจโคไทย เช่น การขายลูกโคตั้งแต่ปีที่ 2-7 ปีละ 600,000 บาท ขายแม่โคปลดระวางในปีที่ 8 จำนวน 800,000 บาท ขายมูลโคของแม่โคและลูกโคทั้ง 8 ปี ปีละ 86,400 บาท และขายพืชอาหารสัตว์ ปีละ 304,500 บาท