สื่อนอกแฉ ตร.ภูธรสะเดาเรียกรับเงินเหยื่อถูกขโมยรถจากมาเลเซีย 2-7 หมื่นบาท ค่าปล่อยรถ หลังรถถูกขโมยจากกัวลาลัมเปอร์แค่ชั่วข้ามคืน ก่อนนำมาจอดที่สงขลา ถ้าไม่จ่ายรถจะถูกขายต่อ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวความคืบหน้าเพิ่มเติมจากกรณีที่สื่อในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียได้ลงข่าวในกรณีขบวนการขโมยรถที่มีพฤติกรรมการขโมยรถเช่าแล้วนำรถหนีมายังประเทศไทยเพื่อมาขายต่อ
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ม.ค. สำนักข่าว The Star ของมาเลเซียได้รายงานข่าวเพิ่มเติมว่ามีกรณีของการขโมยรถจากผู้เช่ารถจากบริษัทให้เช่ารถต่างๆ แล้วขับมายังประเทศไทย ซึ่งกระบวนการทั้งการขโมยรถแล้วขับมายังประเทศไทยนั้นใช้เวลาแค่ 12 ชั่วโมงเท่านั้น และยังมีตำรวจไทยเข้ามามีส่วนในการรับผลประโยชน์ในกรณีนี้ด้วย
สำนักข่าวได้รายงานต่อไปถึงกรณีของนายแซค ซึ่งเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ให้เช่ารถ 4 ล้อของตัวเองกับชายคนหนึ่งในเขตปันไตดาลัม, กรุงกัวลาลัมเปอร์
นายแซคกล่าวต่อไปว่ารถนั้นยังอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ตอนเขาเข้านอนในเวลา 4 ทุ่ม อย่างไรก็ตามเมื่อเขาตื่นในเวลา 8 โมงเช้าวันถัดไป พบว่าจีพีเอสของรถนั้นระบุว่ารถอยู่ในจังหวัดนราธิวาส ประเทศไทย
“ผมแจ้งความเลยในเย็นวันนั้น และคดีของผมก็ถูกโยนไปมาระหว่างฝ่ายคดีอาชญากรรมทั่วไปและอาชญากรรมเชิงพาณิชย์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ถามย้ำกับผมตลอดว่าทำไมผมถึงเช่ารถ แล้วก็บอกผมว่ามันผิด เจ้าหน้าที่บอกผมว่าผมจะไม่ได้รถของผมคืน เขากับผมด้วยว่าให้ผมไปพร้อมกับเพื่อนพร้อมจ้างรถลากไปเพื่อนำรถกลับมาจากประเทศไทย” นายแซคกล่าว
และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยก็มีบทบาทในเรื่องนี้
ทั้งนี้จากความช่วยเหลือของคนรู้จักจำนวนสองคนซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นคนไทย และอีกคนซึ่งก็คือภรรยาของเราร่วมกันเดินทางไปยังประเทศไทย ก็พบว่ารถนั้นถูกเก็บไว้ ณ รังของกลุ่มผู้มีอิทธิพลแห่งหนึ่งใน อ.สะเดา จ.สงขลา
“ผมเกือบยอมแพ้ เพราะว่ารถนั้นไม่ได้ขยับไปไหนเลนเป็นเวลากว่าสามวัน ผมรอจนวันที่ 4 ผมก็เห็นว่ารถของผมถูกเคลื่อนย้ายไปยังป่าช้ารถยนต์ (ที่สำหรับทำลายรถ) ผมจึงขอให้ตำรวจไทยช่วย” นายแซคกล่าวและกล่าวต่อไปว่าหลังจากโทรไปได้ประมาณ 20 นาที ตำรวจไทยได้โทรกลับมาแล้วบอกให้เราไปที่รถได้เลย เราจึงใช้กุญแจสำรองแล้วขับมันกลับมา ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครอยู่ตรงจุดที่เราไปเอารถแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามแม้ว่านายแซคจะโล่งใจเมื่อเขาได้รถแล้ว แต่ปัญหาของเขาก็ยังไม่จบ เพราะว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยบอกให้เขานำรถไปยังสถานีตำรวจก่อนเพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ
“เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยบอกเราว่าให้ไปเอารถได้ตอนเวลาสองทุ่ม เราก็ไปถึงเวลานัด เราถูกขอให้จ่ายเงินกว่า 3,000 ริงกิต (22,973 บาท) เป็นค่าของขวัญ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยค่าของขวัญนี้ว่าวังสตูฮาติ' (wang satu hati’)” นายแซคกล่าวและกล่าวต่อว่าเขาจึงยอมจ่ายเงิน แต่อย่างไรก็ตามพบว่าในภายหลังนั้นรถถูกถอดกล้องหน้ารถ ถูกถอดยางอะไหล่และถูกถอดพรมรถยนต์ออกไป
เส้นทางการทวงรถคืนของนายแซคที่ต้องเดินทางไปเป็นระยะเวลากว่า 2,400 กิโลเมตร
สำนักข่าว The Star ยังได้รายงานต่อไปถึงกรณีของเหยื่อคนอื่น โดยคราวนี้ได้แก่นางฟาติมาห์ในวัย 53 ปี ที่จอดรถโตโยต้าไฮลักซ์ไว้ที่หน้าบ้านของเธอในเวลากลางคืน เช้าวันต่อมาเธอก็พบว่ารถคันนี้ไปอยู่นราธิวาสแล้ว
นางฟาติมาห์จึงได้ไปแจ้งความว่ารถถูกขโมย ซึ่งตอนนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสงสัยลูกชายของเธอซึ่งเป็นผู้ใช้รถคนสุดท้าย และสงสัยว่านี่อาจจะเป็นการฉ้อโกงประกันภัยมากกว่า
ต่อมาสมาชิกครอบครัวของเธอจำนวนสี่คนรวมไปถึงคนรู้จักที่สามารถพูดภาษาไทยได้จึงได้ติดตามรถไปจนพบว่ารถนั้นถูกจอดที่บ้านหลังหนึ่งใน จ.สงขลา หลังจากสถานีตำรวจภูธรสะเดา
“สมาชิกครอบครัวของฉันไปที่นั่นและพบว่าหมายเลยทะเบียนรถมีการเปลี่ยนแปลง พวกเขายังได้ตัดเสาอากาศของวิทยุภายในรถ โดยคิดว่านั่นเป็นตัวติดตามจีพีเอส” นางฟาติมาห์กล่าว
เธอกล่าวต่อไปว่าเธอต้องจ่ายเงินด้วยเช่นกัน ซึ่งคนรู้จักของเธอได้เรียกเงินเป็นจำนวนกว่า 10,000 ริงกิต (76,469 บาท)ในฐานะที่เป็นค่าของขวัญ แล้วยังขู่เธอด้วยว่าถ้าไม่จ่ายภายในเวลา 30 นาที ก็จะขายรถต่อไป ซึ่งท้ายที่สุดเธอก็สามารถหาเงินได้ด้วยความยากลำบาก แต่ก็ยังโชคดีที่สามารถนำรถกลับมาบ้านได้
เรียบเรียงจาก:https://www.thestar.com.my/news/nation/2023/01/19/risky-trip-to-thailand-to-get-back-cars