ทร.เผยผลปฏิบัติการณ์ พบผู้เสียชีวิตเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปางรวมแล้ว 6 นาย ผบ.ทร.รับต้องมีการสอบสวนตามระเบียบ รวมถึงปมเสื้อชูชีพไม่พอด้วย ยันเรือมีขีดความสามารถสูง รับ ทร.เคยคิดขยายอายุการใช้งานออกไป 5-10 ปี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวว่าสืบเนื่องจากที่ปรากฎเป็นข่าวว่าเรือหลวงสุโขทัยได้อับปางลง กองทัพเรือได้รายงานผลปฎิบัติการณ์ช่วยชีวิตลูกเรือพบว่าในช่วงหัวค่ำ “เรืองหลวงกระบุรี” ได้นำร่างลูกเรือที่เสียชีวิต 6 นาย เดินทางเข้าเทียบท่าเรือประจวบ แต่ไม่สามารถเทียบท่าได้ จึงได้ใช้เฮลิคอปเตอร์เพื่อขนย้ายแทน จากนั้นจึงได้นำขึ้นรถกู้ภัย นำร่างไปยังมูลนิธิสว่างราษศรัทธาธรรมสถาน เพื่อทำการพิสูจณ์อัตตลักษณ์ โดยมีคณะแพทย์ และพนักงานสอบสวน สภ.บางสะพาน คอยอำนวยความสะดวกอยู่ที่มูลนิธิ เพื่อลดขั้นการยืนยันอัตตลักษณ์ การชันสูตรศพ และอำนวยความสะดวกให้กับญาติ
สำหรับรายชื่อ ผู้เสียชีวิต ประกอบด้วย
1.ร.ท.สามารถ แก้วผลึก ตำแหน่ง สรั่งกล เรือหลวงสุโขทัย
2.พ.จ.อ.อัชชา แก้วสุพรรณ์ ช่างโซน่าร์ เรือหลวงสุโขทัย
3.พ.จ.อ.อำนาจ พิมที สังกัด สอ.รฝ
4.จ.อ.จักร์พงศ์ พูลผล ช่างโซน่าร์ เรือหลวงสุโขทัย
5.พลฯทหารอัครเดช โพธิ์บัติ พลเรือ เรือหลวงสุโขทัย
6.(ยังไม่ทราบ ชื่อ-สังกัด แน่ชัด)
ส่วนผู้รอดชีวิตอีก 1 นาย คือ พ.จ.อ.จิรวัฒน์ เจริญศิลป์ สังกัดนาวิกโยธิน ได้รับการช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้น เนื่องจากอาการขาดน้ำอย่างรุนแรง อยู่บนเรืองหลวงอ่างทอง
โดยสรุปผลการปฏิบัติงานในวันที่ 20 ธ.ค. พบลูกเรือจำนวน 7 นาย รอดชีวิต 1 นาย เสียชีวิต 6 นาย ยังคงสูญหาย 23 นาย
โดยก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 17.00 น.พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ แถลงเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่า ในวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา เรือหลวงสุโขทัยได้รับภารกิจออกลาดตระเวนช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล และได้รับภารกิจนำกำลังพลไปสนับสนุนการจัดงานครบรอบ 100 ปี พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เพื่อเทิดพระเกียรติที่ จ.ชุมพร
ในวันนั้นเรือหลวงสุโขทัยเดินทางไปพร้อมกับเรือหลวงกระบุรี แต่พบคลื่นลมแรง ไม่สามารถไปทิ้งสมอได้ จึงขออนุญาตทัพเรือภาค 1 เพื่อไปเทียบท่าเรือน้ำลึก อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จากนั้นเรือหลวงกระบุรีได้จอดเทียบท่าเรือบางสะพาน แต่เรือหลวงสุโขทัยเผชิญคลื่นลมแรง
พล.ร.อ.เชิงชาย ระบุว่า รับทราบข้อเท็จจริงเบื้องต้น มีน้ำเข้าเรือในปริมาณมาก โดยน้ำเข้าที่หัวเรือ ทำให้เกิดความเสียหายจากระบบเครื่องไฟฟ้า ระบบเครื่องจักรช่วยของเรือ ทางเรือพยายามสูบน้ำออกตามขั้นตอน แต่ไม่สามารถส่งน้ำออกได้ทันกับปริมาณน้ำที่เข้ามา ทำให้น้ำเข้ามาในเรือมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเรือไม่สามารถสู้กับน้ำที่เข้ามาได้ ทำให้ไม่สามารถบังคับเรือได้ เพราะน้ำเข้ามาท่วมระบบเครื่องจักรช่วยสำคัญ เครื่องยนต์ซ้ายเริ่มดับ หลังน้ำเข้าเรือ เหลือเครื่องยนต์ขวาเพียงเครื่องเดียว ทั้งยังสูญเสียการควบคุมใบจักร สุดท้าย น้ำท่วมจนทำให้เครื่องไฟฟ้าดับทั้งหมด เครื่องจักรสูญเสียไป กลายเป็นเรือที่มีสภาพลอยลำกลางทะเล จนทำให้มีภาพเรือเอียงตามภาพข่าวที่ได้เห็น
ระหว่างเรือสุโขทัยประสบปัญหา ได้ร้องขอทัพเรือภาคที่ 1 โดยต่อมาได้มีการสั่งการให้เรือหลวงกระบุรี ซึ่งอยู่ห่างกันกัน 20 ไมล์ จากท่าเรือบางสะพาน แต่สภาพคลื่นลมเวลานั้นยังแรงอยู่ และสั่งการให้เรือหลวงอ่างทอง เรือหลวงภูมิพล พร้อมกับเครื่องบินลาดตระเวน และ ฮ. รวมถึงเรือดำน้ำ ในการช่วยเหลือเรือหลวงสุโขทัย
หลังจากเรือหลวงสุโขทัยเอียง 60 องศา เข้าสู่สภาพต้องสละเรือใหญ่ โดยกำลังพลทุกนายต้องสวมเสื้อชูชีพและขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อรอความช่วยเหลือ เรือกระบุรีจะเข้าไปช่วยลำเลียงกำลังพลก็ไม่สามารถดำเนินการได้ แต่เรือรบทุกลำจะมีการติดตั้งแพชูชีพอัตโนมัติ ซึ่งสามารถปลดได้เมื่อเรือจมลงน้ำ ซึ่งแพดังกล่าวบรรจุกำลังพลได้ 15 คน มีทั้งหมด 6 แพ ในกรณีฉุกเฉิน ทั้งยังมีแพชูชีพเรือหลวงกระบุรี และแพชูชีพที่ลำเลียงมาจากเครื่องบินลาดตระเวนที่ทิ้งลงไปให้กำลังพลเรือหลวงสุโขทัยด้วย
ทั้งนี้ จากการได้รับรายงานจากเรือหลวงสุโขทัยที่ คาดว่าหากเรือทัก (เรือลากจูง) จากบางสะพานมาถึง จะสามารถลากเรือไปได้ กำลังพลเรือหลวงสุโขไทยจึงไม่ได้สละเรือ แต่ขณะนั้นคลื่นลมแรงมาก 3-4 เมตร ทางกองทัพเรือได้สั่งการให้เรือหลวงกระบุรีช่วยเหลือตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ต่อมาเรือเริ่มเอียงขึ้น และจมลงจากด้านท้ายลงไปจนถึงหัวเรือตั้งขึ้น ช่วงนั้นทำให้เกิดการชุลมุน กำลังพลบางส่วนให้กำลังพลที่ไม่มีเสื้อชูชีพขึ้นแพชูชีพ ส่วนกำลังพลบางส่วนที่ถูกคลื่นพัดเมื่อเรือจม ก็พยายามว่ายน้ำไปที่เรือหลวงกระบุรี โดยมีการส่งมีผู้บาดเจ็บ เลือดออกที่ศีรษะในปริมาณมาก และมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิต และมีกำลังพลที่แขนหัก ขาหัก ขึ้นไปบนเรือ โดยเรือกระบุรีได้ขออนุญาตเดินทางกลับไปท่าเรือบางสะพาน เพื่อส่งกำลังพลที่บาดเจ็บไปรักษาตัว แต่ในตอนนั้นมีเรือทัก 2 ลำ เรือน้ำมัน เรือสินค้าอีก 2 ลำ จึงคาดว่าจะช่วยกำลังพลอีก 30 นายได้ ขณะนั้นเรือหลวงอ่างทองเดินทางถึงพื้นที่เวลา 06.00 น. เพื่อค้นหากำลังพลต่อไป
พล.ร.อ.เชิงชาย ยืนยันว่า หลังจากนี้จะต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตามระเบียบของกองทัพเรือ และต้องมีการรายงานความสูญเสียทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ไปยังนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย ดังนั้น ทั้งสาเหตุเรือจม รวมถึงเรื่องเสื้อชูชีพไม่เพียงพอ ก็ต้องมีการสอบสวนและรายงานข้อเท็จจริงทั้งหมด
ทั้งนี้ ปัจจุบันเรือหลวงสุโขทัยมีอายุ 36 ปี ซึ่งตามระเบียบและข้อกำหนดมีอายุใช้ราชการ 40 ปี แต่สภาพและอุปกรณ์บนเรือหลวงสุโขทัยยังมีความสามารถใช้งานได้ตามปกติ มีขีดความสามารถสูงอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกองทัพเรือมีแนวความคิดว่าจะขยายอายุของเรือหลวงสุโขทัยไปอีกอย่างน้อย 5-10 ปี ก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว