ป.ป.ช.เผยแพร่ความคืบหน้าคดีกล่าวหา 'ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์' ส.ส.พลังประชารัฐ คดีเสียบบัตรแทนกัน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี รอลงอาญา ปรับ 2 แสน เป็นทางการ -ล่าสุด คกก.ชุดใหญ่ ประชุมลงมติเห็นชอบตาม อสส. ไม่อุทธรณ์สู้คดีต่อ-ส่วนคดีฝ่าฝืนจริยธรรม นัดไต่สวนพยานทั้ง 2 ฝ่ายก่อนสิ้นเดือน พ.ย.65 นี้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา นางสาวธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 7 (บางซื่อ - ดุสิต) กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ ใช้ผู้อื่นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติในการพิจารณาและลงมติร่างพระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิรัชกาลที่ 10 พ.ศ. ....
ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา
โดยเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2565 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาว่า นางสาวธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ จำเลย มีความผิดตามพ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 172
จำคุก 1 ปี และปรับ 200,000 บาท
โทษจำคุก ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี
ความคืบหน้าล่าสุด คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565 ลงมติเห็นชอบตามความเห็นอัยการสูงสุด (อสส.) ที่จะไม่อุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2565 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 19/2564ค คดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (ตำแหน่งก่อนถูกสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่)
โดยโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2562 เวลากลางวัน จำเลยดำรงตำแหน่ง ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่ 7 (บางซื่อ – ดุสิต) กทม. ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ลงชื่อเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 1 ครั้งที่ 14 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) โดยไม่ได้ลาประชุม แต่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม จำเลยฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติของจำเลยกับ ส.ส.รายอื่น หรือบัตรของจำเลยอยู่ในความครอบครองของ ส.ส.รายอื่นโดยความยินยอมของจำเลย เพื่อให้ใช้บัตรกดปุ่มแสดงตนและลงมติแทนจำเลยในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 พ.ศ. ... วาระที่ 1 โดยมีเจตนาทุจริตแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการออกเสียงลงคะแนนแทนกัน อันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เป็นเหตุให้สภาผู้แทนราษฎรปวงชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย รวมทั้งกระบวนการตรากฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติได้รับความเสียหาย
ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 172 จำเลยให้การปฏิเสธ
องค์คณะผู้พิพากษาวินิจฉัยแล้วเห็นว่า การพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใช้ระบบไต่สวน ซึ่งศาลเป็นผู้ค้นหาความจริงไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยนำสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นหลักในการพิจารณา และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมให้ศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ ตามมาตรา 6 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560
เช่นนี้โจทก์จึงไม่มีภาระพิสูจน์ถึงการกระทำความผิดและเจตนาของจำเลยดังที่จำเลยแถลงปิดคดี แต่เป็นหน้าที่และอำนาจของศาลที่จะไต่สวนค้นหาความจริงแล้วใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงว่าความจริงรับฟังได้หรือไม่ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้อง
เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานตามทางไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประกอบสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และแถลงปิดคดีของจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้ร่วมประชุมและลงมติร่าง พ.ร.บ.เหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 พ.ศ. ... ไม่มีความผิดพลาดหรือบกพร่อง
ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่ได้อยู่ในที่ประชุม สภาผู้แทนราษฎรขณะที่มีการลงมติ แต่มีการนำบัตรอิเล็กทรอกนิกส์ของจำเลยไปใช้ลงมติ ประกอบกับระบบลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ไม่มีความผิดพลาดหรือบกพร่อง และช่องเสียบบัตรลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่เพียงพอต่อการใช้งานของ ส.ส.เป็นช่องทางให้สามารถนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของ ส.ส.รายอื่นมาลงมติได้
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยกับ ส.ส.รายอื่น หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไปอยู่ในความครอบครองของ ส.ส.รายอื่น โดยจำเลยยินยอมให้ ส.ส.รายนั้นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยแสดงตนและลงมติแทนจำเลย
เมื่อการออกเสียงลงคะแนนในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ของ ส.ส.เป็นสิทธิเฉพาะตัวของ ส.ส.ซึ่งเข้าประชุมและอยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีการออกเสียงลงคะแนนเท่านั้น การกระทำใดเพื่อให้มีการออกเสียงลงคะแนนแทนกันจึงเป็นการขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 120 วรรคสาม ที่ให้สมาชิก คนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการออกเสียงลงคะแนน และไม่ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 72 วรรคสาม ที่กำหนดว่า การออกเสียงลงคะแนนจะกระทำแทนกันไม่ได้ อันเป็นนการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต มีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนนของสภาผู้แทนราษฎรในการประชุมพิจารณานั้นไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทย
การกระทำของจำเลยจึงก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน และสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่นิติบัญญัติแล้ว แม้จะไม่ทำให้กระบวนการตรากฎหมายเสียไปการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่ง หรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
และการที่จำเลย ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ แต่กลับฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยกับ ส.ส.รายอื่นหรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไปอยู่ในความครอบครองของ ส.ส.รายอื่น โดยจำเลยยินยอมให้ ส.ส.รายนั้นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยแสดงตนและลงมติแทนจำเลย เป็นผลให้ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวผ่านการพิจารณาของสภา เป็นกรณีที่จำเลยอาศัยโอกาสในการปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนเป็นช่องทางในการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง ถือได้ว่าเป็นปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตด้วย
อย่างไรก็ตามมูลเหตุที่ทำให้จำเลยกระทำความผิดครั้งนี้เกิดจากจำเลยต้องไปเป็นวิทยากรในงานเสวนาแบ่งปันความรู้บทบาทแม่ยุคดิจิทัลที่ห้องประชุมชั้น 5 สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ ตามโครงการกิจกรรมเวทีสาธารณะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้กับแม่และเด็กในชุมชน หัวข้อเรื่องการเลี้ยงดูลูกในยุคสมัยดิจิทัล ที่จัดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา พ.ร.บ.เหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10พ.ศ. ... ซึ่งเป็นกฎหมายที่สำคัญ ซี่งปัจจุบันได้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรงมากนัก เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำผิดหรือได้รับโทษจำคุกมาก่อน กรณีมีเหตุสมควรปรานีแก่จำเลยเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวประพฤติตนเป็นพลเมืองดีต่อไป แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ เห็นควรลงโทษปรับจำเลยในสถานหนัก
พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 จำคุก 1 ปี และปรับ 2 เเสนบาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 กรณีต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน 1 ปี
อย่างไรก็ดี นอกจากคดีนี้แล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาขอให้วินิจฉัยว่า น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ จำเลยซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561มาตรา 87 ตามคดีหมายเลขดำที่ คมจ.2/1564 ด้วย โดยศาลฯ นัดไต่สวนพยานผู้ร้องวันที่ 28 พ.ย. และไต่สวนพยานผู้คัดค้านวันที่ 30 พ.ย. เวลา 09.30-16.30 น. ทั้งสองนัด
อ่านข่าวในหมวดเดียวกัน
- คดีใหญ่! อดีตพนง.กฟภ.ยะลา ทุจริตซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้สนง. คุก 15 ปี 90 ด. แต่ได้รอลงอาญา
- คุก 122 ปี 6 ด.ติดจริง 50! อดีตนายก อบต.คำไหล อุบลฯ ปลอมเอกสารลายมือจ้างทำถนน
- คดีที่ 2! คุก 50 ปี อดีตนายก อบต.ยางใหญ่ ร้อยเอ็ด เรียกเงินต่อสัญญาพนง.ปี 54
- คุก 5 ปี! อดีตนายก อบต.เพ็ญ อุดรธานี จัดซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้ามิชอบ-พวกโดนโทษด้วย
- ยืนโทษ! คุก 8 ปี 64 ด.อดีตครูพี่เลี้ยงศูนย์เด็ก อบต.บ้านค้อ คดีเรียกเงินต่อสัญญาลูกจ้าง