แพร่ประกาศสำนักนายกฯ โปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชฯ ‘ประกอบ วิโรจนกูฏ’ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เหตุกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีถึงที่สุดให้จำคุก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2565 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก มหาวชิรมงกุฎ ประถมาภรณ์ช้างเผือกประถมาภรณ์มงกุฎไทย ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ตริตาภรณ์ช้างเผือกตริตาภรณ์มงกุฎไทย เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 ประเภทที่ 2 และเหรียญจักรพรรดิมาลา ซึ่ง นายประกอบ วิโรจนกูฏ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้รับพระราชทาน เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ที่ 3655/2564 เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามข้อ 6 และ ข้อ 7 (2) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548 และ นายประกอบ วิโรจนกูฏ เป็นผู้ถูกถอนชื่อออกจากรายชื่อผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องแล้ว
ประกาศ ณ วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2565
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ดอน ปรมัตถ์วินัย
รองนายกรัฐมนตรี
(ดูประกาศในลิงก์ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2565/B/046/T_0006.PDF)
@ประกอบ วิโรจนกูฏ
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ในช่วงเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ อ่านคำพิพากษาคดีกล่าวหา ศ.ประกอบ วิโรจนกุฎ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช). ชี้มูลความผิดกรณีอนุมัติให้ยืมเงินสำรองหมุนเวียนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และอนุมัติให้กู้ยืมเงินสวัสดิการเพื่อการศึกษาแก่บุคลากรภายในมหาวิทยาลัยโดยมิชอบ
โดยศาลอุทธรณ์ฯ พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 (ศาลชั้นต้น) เกี่ยวกับการคำนวณระยะเวลาจำคุก จากเดิม 11 ปี 4 เดือน เหลือจำคุก 9 ปี 28 เดือน เนื่องจากเห็นว่าการกระทําของจําเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทํา จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 3 กระทง ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต จำคุกกระทงละ 1 ปีรวม 2 กระทง ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กระทงละหนึ่งในสาม ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในแหน่งโดยทุจริต จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 3 กระทง และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต จำคุกกระทงละ 8 เดือน 2 กระทง รวมเป็นจำคุก 9 ปี 28 เดือน
เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 ศาลฎีกา มีคำพิพากษาในคดีนี้ หลังศ.ประกอบ วิโรจนกุฎ จำเลยฎีกา ว่า ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นผลให้ศ.ประกอบ ต้องรับโทษจำคุก รวม 9 ปี 28 เดือน
อ่านข่าวเกี่ยวข้อง
- ศาลฎีกา ยืนลงโทษคุก 9 ปี 28 ด. ‘ศ.ประกอบ' อดีตอธิการบดี ม.อุบลฯ คดีทอดกฐิน-ให้ทุนมิชอบ
- อุทธรณ์แก้ลดโทษคุก‘อดีตอธิการบดีม.อุบลฯ’เหลือ 9 ปี 28 เดือนคดีทอดกฐิน-ให้ทุนมิชอบ
- ศาลฯ สั่งจำคุก 11 ปี 4 เดือน ศ.ประกอบ อดีตอธิการฯ ม.อุบล คดีทอดกฐิน-ให้ทุนมิชอบ