ศาลฎีกา พิพากษายืนลงโทษจำคุก ‘ศ.ประกอบ วิโรจนกุฎ’ อดีตอธิการบดี ม.อุบลฯ คดีอนุมัติให้ยืมเงินสำรองหมุนเวียนไปทอดกฐิน-ให้กู้ยืมเงินสวัสดิการเพื่อการศึกษาภายในแก่บุคลากรมิชอบ 9 ปี 28 เดือน หลังเห็นว่าฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
สืบเนื่องจากสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอข่าวว่า ในช่วงเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ อ่านคำพิพากษาคดีกล่าวหา ศ.ประกอบ วิโรจนกุฎ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช). ชี้มูลความผิดกรณีอนุมัติให้ยืมเงินสำรองหมุนเวียนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และอนุมัติให้กู้ยืมเงินสวัสดิการเพื่อการศึกษาแก่บุคลากรภายในมหาวิทยาลัยโดยมิชอบ
โดยศาลอุทธรณ์ฯ พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 (ศาลชั้นต้น) เกี่ยวกับการคำนวณระยะเวลาจำคุก จากเดิม 11 ปี 4 เดือน เหลือจำคุก 9 ปี 28 เดือน เนื่องจากเห็นว่าการกระทําของจําเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทํา จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 3 กระทง ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต จำคุกกระทงละ 1 ปีรวม 2 กระทง ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กระทงละหนึ่งในสาม ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในแหน่งโดยทุจริต จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 3 กระทง และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต จำคุกกระทงละ 8 เดือน 2 กระทง รวมเป็นจำคุก 9 ปี 28 เดือน
- ศาลฯ สั่งจำคุก 11 ปี 4 เดือน ศ.ประกอบ อดีตอธิการฯ ม.อุบล คดีทอดกฐิน-ให้ทุนมิชอบ
- อุทธรณ์แก้ลดโทษคุก‘อดีตอธิการบดีม.อุบลฯ’เหลือ 9 ปี 28 เดือนคดีทอดกฐิน-ให้ทุนมิชอบ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 ศาลฎีกา มีคำพิพากษาในคดีนี้ หลังศ.ประกอบ วิโรจนกุฎ จำเลยฎีกา ว่า ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นผลให้ศ.ประกอบ ต้องรับโทษจำคุก รวม 9 ปี 28 เดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูล ศาสตาจารย์ประกอบ มีโทษความผิดทางวินัยร้ายแรง ไม่ปฏิบัติตามระเบียบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ว่าด้วยการเงินและทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พ.ศ.2534 และใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่อยู่ในวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พ.ศ.2533 และยังถูกชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ด้วย ก่อนได้ส่งสำนวนให้กับสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ฟ้องคดีไปตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ. 2560 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
ส่วนมาตรา 157 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับพฤติการณ์การกระทำความผิด ของ ศาสตาจารย์ประกอบ มี 2 ส่วนหลัก คือ
1. อนุมัติให้ยืมเงินสำรองหมุนเวียน โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบราชการ จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการทอดกฐินสามัคคีและมอบทุนการศึกษาประจำปี 2549 2.การให้ทุนแก่โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช ในโครงการส่งเสริมศักยภาพครูผู้สอนภาษาอังกฤษจากการเรียนรู้สภาพจริงกับเจ้าของภาษา ครั้งที่ 1 และ 3. โครงการส่งเสริมศักยภาพครูผู้สอนภาษาอังกฤษจากการเรียนรู้สภาพจริงกับเจ้าของภาษาครั้งที่ 2
2. อนุมัติให้กู้ยืมเงินสวัสดิการเพื่อการศึกษาแก่บุคลากรภายในมหาวิทยาลัยทั้งข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย ลูกจ้างประจำ และลูกจ้างชั่วคราว จำนวน 165 ราย โดยที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีไม่ได้จัดสรรรายได้ตั้งเป็นเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อเสนอให้สภามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อนุมัติงบประมาณสำหรับการให้กู้ยืม
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบและแบบแผนของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของทางราชการ หรือขาดการเอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 39 วรรคสามและวรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547 อาศัยอำนาจตามมาตรา 92 และมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2554 และมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547 ประกอบมาตรา 30 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 จึงลงโทษไล่ออกศาสตราจารย์ประกอบ วิโรจนกุฏ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.2553 เป็นต้นมา