สธ.คาดสัปดาห์หน้าเริ่มฉีดไฟเซอร์เด็กเล็กต่ำกว่า 5 ปี ยันใช้ร่วมกับวัคซีนชนิดอื่นได้ ชี้ควรฉีดทุกคน พร้อมเผยแนวทางให้ LAAB ย้ำกลุ่มเสี่ยงยังต้องฉีดวัคซีนโควิดก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2565 นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวเปิดการเสวนาวิชาการผ่านระบบออนไลน์ในหัวข้อ 'ข้อมูลวัคซีนโควิด19 สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน - 5 ปี' ว่า ข้อมูลจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.ค. 2565 พบผู้ป่วยโควิดเป็นเด็กอายุ 0 - 4 ปี จำนวน 3.6 แสนราย จำนวนนี้ต้องนอนโรงพยาบาลเกือบ 1 แสนราย มีอาการปอดบวมรุนแรงเกือบ 1 พันราย เสียชีวิต 65 ราย อัตราเสียชีวิต 0.01 % ประมาณ 1 ในหมื่น แม้ไม่มากแต่จะเท่าไหร่ก็ตามถือเป็นความสูญเสียทรัพยาบุคคลของประเทศ
“ทั้งนี้ การการระบาดยังมีต่อเนื่องจะทำให้มีผู้ป่วยมากขึ้น จึงเเป็นโอกาสดีที่จะมีวัคซีนใช้สำหรับเด็กเล็ก คาดจะมีการฉีดวัคซีนในเด็กเล็กตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป” นพ.นคร กล่าว
ด้าน พญ.ปิยนิตย์ ธรรมาภรณ์พิลาศ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนและการสร้งเสริมภูมิคุ้มกันโรค และนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับวัคซีนในเด็กอายุ 6 เดือน - น้อยกว่า 5 ปี ที่ใช้ในประเทศไทยนั้น จะมีวัคซีนไฟเซอร์เข้าในช่วงเดือนตุลาคม โดยวัคซีนมีรูปลักษณ์เปลี่ยนไป คือ ฝาสีแดงเข้ม ขวดก็แดงเข้มเช่นกัน จะทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแยกง่ายขึ้น
โดยวัคซีนชนิดนี้ต้องผสมตัวทำละลายตามที่กำหนด ซึ่ง 1 ขวดฉีดได้ 10 โดส หรือ 10 คน โดยมีขนาดโดสละ 0.2 มิลลิลิตร (3 ไมโครกรัม) ถือว่าปริมาณน้อย โดยต้องฉีดจำนวน 3 เข็ม คือ เข็ม 1 และเข็ม 2 ห่างกัน 3-8 สัปดาห์ ที่แนะนำคือ 4 สัปดาห์ ส่วนเข็ม 2 และ เข็ม 3 ให้ฉีดได้ตั้งแต่ 8 สัปดาห์ขึ้นไป
พญ.ปิยนิตย์ กล่าวถึงอาการข้างเคียงว่า ไม่รุนแรง มีความปลอดภัยดี ส่วนใหญ่จะเจ็บบริเวณที่ฉีด มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร โดยอาการข้างเคียงเหมือนกันทั้งเข็ม 1 เข็ม 2 และเข็ม 3 ไม่พบอาการข้างเคียงรุนแรงในการศึกษาที่ผ่านมา แต่มีบางคนที่ขึ้นผื่น ตัวบวมจากการแพ้ แต่ไม่มีอาการรุนแรงช็อก อย่างไรก็ตาม จำนวนตัวอย่างที่ศึกษาที่ผ่านมาไม่ได้มากเท่ากับการใช้จริง ซึ่งก็ต้องมีการติดตามต่อไป และหลังฉีดเบื้องต้นต้องติดตามอาการ 15 นาทีเป็นอย่างน้อย
“จากการศึกษาภูมิคุ้มกันพบว่า ฉีด 2 เข็มภูมิฯไม่สูงมากนัก จึงแนะนำว่า ต้องฉีด 3 เข็ม ซึ่งจะทำให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลยังพบว่า หลังการฉีดมีการติดตามกลุ่มตัวอย่างพบว่า ฉีดครบ 3 เข็ม อย่างน้อย 7 วันพบประสิทธิผล ลดการติดเชื้อได้ประมาณ 75-80% แต่อันนี้เป็นการศึกษาช่วงหลังฉีดใหม่ๆ ซึ่งประสิทธิผลการป้องกันติดเชื้อลดลงเร็วมาก จึงอย่าหวังเรื่องป้องกันติดเชื้อ แต่เราหวังป้องกันอาการรุนแรง ลดการเสียชีวิตมากกว่า” พญ.ปิยนิตย์ กล่าว
ทั้งนี้ กลุ่มเด็กที่ควรเข้ารับวัคซีน คือ กลุ่มเด็กที่มีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรง ซึ่งเป็นไปตามข้อแนะนำของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้แก่ เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี เด็กคลอดก่อนกำหนด เด็กอ้วน เด็กที่มีโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งหอบหืด เด็กที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มโรคไตวายเรื้อรัง โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ โรคเบาหวาน และกลุ่มโรคพันธุกรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ ฯลฯ
“มีข้อควรระมัดระวัง โดยเด็กและวัยรุ่นที่เคยมีปัญหากล้ามเนื้อหัวใจ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบที่สัมพันธ์กับการฉีดวัคซีน mRNA มาก่อน ก็ให้เลื่อนการฉีดเข็มถัดไปไปก่อน แต่กรณีนี้ที่ผ่านมาไม่เคยพบในเด็กเล็ก ขอย้ำว่า การรับวัคซีนเป็นไปตามความสมัครใจของผู้ปกครองและเด็ก ไม่ได้เป็นเงื่อนไขของการไปโรงเรียน และวัคซีนป้องกันโควิดสามารถฉีดร่วมกับวัคซีนชนิดอื่นได้” พญ.ปิยนิตย์ กล่าว
ส่วนกรณีมีคำถามว่า หากเด็กเล็กฉีดวัคซีนโควิด 1 เข็ม แต่ติดโควิดก่อนฉีดเข็ม 2 ยังต้องฉีดหรือไม่ และต้องห่างเท่าไหร่ พญ.ปิยนิตย์ กล่าวว่า หากเด็กติดเชื้อโควิด ให้บวก 3 เดือนไปก่อนค่อยฉีดเข็มถัดไป กล่าวคือ เว้น 3 เดือนค่อยฉีดอีกครั้งจนครบโดส
ทั้งนี้ วัคซีนไฟเซอร์เด็กเล็กจะเริ่มฉีดในเดือน ต.ค.นี้ ส่วนจะฉีดอย่างไร จะมีการกระจายและให้ทางจังหวัดเป็นหน่วยบริหารจัดการ คาดว่าจะมีการกระจายไปยังโรงพยาบาลต่างๆ โดยทางจังหวัดจะเป็นผู้บริหารจัดการช่วงสัปดาห์หน้า หรือกลางเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งผู้ปกครองสามารถสอบถามได้ยังโรงพยาบาลใกล้บ้าน
ย้ำกลุ่มเสี่ยงรับวัคซีนโควิดก่อนรับ LAAB
นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) สำหรับผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง ว่า สำหรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป หรือ Long Acting Antibody (LAAB) เป็นแอนติบอดีที่ออกฤทธิ์ยาว มีกลไกลการออกฤทธิ์ในการจับกับบริเวณโปรตีนหนาม ทำให้เชื้อไวรัสไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้ โดยจากการผลการศึกษาพบว่า สามารถป้องกันโควิดแบบมีอาการได้ 83% เมื่อติดตามไป 6 เดือน สามารถลบล้างฤทธิ์ต่อทุกๆ สายพันธุ์กลายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน รวมถึง BA.4 และ BA.5
อย่างไรก็ตาม LAAB เป็นภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ร่างกายสามารถใช้ได้เลย ส่วนวัคซีนป้องกันโควิด เป็นสารที่นำเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ฉีดหรือกิน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้งภูมิต้านทานโรค ต้องรอประมาณ 2 สัปดาห์ในการสร้างภูมิคุ้มกัน
“สิ่งสำคัญภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป LAAB ไม่สามารถนำมาทดแทนการฉีดวัคซีนโควิด19 จึงแนะนำว่า กลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ หรือกลุ่มที่ไม่สามารถสร้างภูมิต้านทานได้ หลังรับวัคซีนโควิดไปแล้ว ก็ควรมารับวัคซีนเข็มกระตุ้นต่อจนครบตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข และค่อยมารับ LAAB เพิ่มเติมตามคำแนะนำแพทย์” นพ.วีรวัฒน์ กล่าว
โดย LAAB ฝาสีเทาเข้ม และสีขาว โดยมี 2 ชนิดขนาดยารวม 300 มก. และจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณสะโพกชนิดละข้าง ข้างละ 1.5 มล.โดยหลังฉีดผลข้างเคียงน้อยมาก ส่วนใหญ่ปวด บวม ส่วนใหญ่หายได้เองภายใน 2-3 วัน แต่แนะนำว่า หลังฉีด 1 ชั่วโมงต้องมีการติดตามอาการข้างเคียงอย่างใกล้ชิด โดยกลุ่มที่ควรได้รับ LAAB คือ ผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่ตอบสนองต่อวัคซีนได้น้อยกว่าคนทั่วไป และผู้ที่ไม่สามารถรับวัคซีนโควิด
ปัจจุบันการใช้ LAAB มีทั้งการป้องกันโควิด และการรักษา โดยการใช้เพื่อการป้องกันการติดเชื้อโควิดนั้น มีอังกฤษ สหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป รัสเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และประเทศไทย ส่วนประเทศที่ใช้ LAAB ในการรักษาโควิด19 แบบคนไข้นอก มียุโรป สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ส่วนประเทศไทยในอนาคตอาจมีคำแนะนำการรักษาตามมา
สำหรับคำแนะนำการให้ LAAB เมื่อเดือน ก.ค.2565 ที่ผ่านมา โดยกรมควบคุมโรค ระบุว่าให้ใช้ได้ตั้งแต่ผู้ที่อายุมากกว่า หรือเท่ากับ 12 ปี มีน้ำหนัก 40 กิโลกรัม โดยกลุ่มเป้าหมาย กำหนดเป็นผู้ป่วยไตวายที่ได้รับการปลูกถ่ายไต และได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยไตวายที่ได้รับการฟอกเลือด ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน และผู้ป่วยปลูกถ่ายไขกระดูกที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
ต่อมามีคำแนะนำฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 เมื่อเดือนกันยายน 2565 โดยเพิ่มเติมกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบและโรคแพ้ภูมิตัวเอง ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยตามข้อบ่งใช้ที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทย อนุมัติ และผู้ป่วยที่อาจมีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น
ส่วนคำถามหากรับ LAAB ถ้าต้องการฉีดวัคซีนโควิดต้องเว้นระยะห่างอย่างไร นพ.วีรวัฒน์ กล่าวว่า ไม่ได้มีข้อห้ามว่า ต้องเว้นระยะห่างเท่าไหร่ แต่ก็มีข้อมูลจากการศึกษากลุ่มย่อย โดยพบว่า คนไข้ที่รับ LAAB เมื่อมารับวัคซีนโควิดก็พบว่า ภูมิคุ้มกันขึ้นได้
“ทั้งนี้ การศึกษาวิจัยการใช้ LAAB มีการรวบรวมข้อมูลจากคนอายุ 18 ปีขึ้นไป แต่เด็กยังไม่มีการใช้ เพียงแต่มีการสร้างโมเดลและเทียบเคียงกับเด็กอายุน้อยลงมา เป็นวัยรุ่น จึงมีคำแนะนำให้ใช้ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปได้ และในเรื่องน้ำหนักตัวมากกว่า 40 กิโลกรัมสามารถใช้ได้” นพ.วีรวัฒน์ กล่าว