ผู้รับเหมาถนนยางพาราชนะคดีกู้เงิน สามีปลัด อบต. ขอให้ชดใช้ 17.7 ล้าน ศาลแพ่งชี้ไม่ปรากฎหลักฐานชัดเจนว่ามีการส่งมอบเงินตอนให้กู้ยืม เผยบทสนทนามีการเรียกรับเงิน แลกสัญญาทำถนนยางพาราชัดเจน
สืบเนื่องจากที่ปรากฎเป็นข่าวเมื่อเดือน มี.ค. 2564 ระบุว่านายชัยรัชต์พงษ์ กุลรัตนจินดา พร้อมด้วยทนายความส่วนตัว เดินทางไปยังสถานีตำรวจภูธรวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดีนางสาวรักษยา แสงฤทธิ์ ผู้บริหารบริษัททราฟฟิคอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในพื้นที่ภาคอีสาน ในข้อหาหมิ่นประมาทตามมาตรา 326, 328 และความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) จากกรณีที่ นางสาวรักษยา เข้าร้องเรียนสื่อมวลชนว่า ในช่วงกลางปี 2562 ได้ถูกปลัด อบต.แห่งหนึ่ง และคนใกล้ชิด อ้างชื่อผู้บริหารระดับสูงในกรมหนึ่งในกระทรวงมหาดไทย เรียกรับเงินค่าเปอร์เซ็นต์ตอบแทน จากการเข้าไปได้รับงานโครงการก่อสร้างถนนดินซีเมนต์ผสมยางพาราของรัฐบาลเป็นวงเงินเกือบ 60 ล้านบาท
โดยจำนวนเงิน 60 ล้านบาทดังกล่าวนี้คิดเป็น 15% จากจำนวนงานโครงการที่ตกลงกันไว้ประมาณเกือบ 400 ล้านบาท ซึ่ง น.ส.รักษยา ได้เคยมาร้องเรียนกับสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ว่าเมื่อจ่ายเงินไปแล้ว กลับไม่ได้จำนวนงานโครงการครบตามที่ตกลงกัน ได้งานเพียงแค่ครึ่งเดียว และไม่ยอมคืนเงินค่าเปอร์เซ็นต์ตอบแทนส่วนเกินกว่า 39 ล้านบาทให้
ขณะที่ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง มีนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน และได้มีการเรียกตัว น.ส.รักษยา แสงฤทธิ์ เข้าให้ปากคำในฐานะพยาน ไปแล้วเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564
สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีที่เกี่ยวข้องกันเพิ่มเติมว่า ศาลแพ่งจังหวัดร้อยเอ็ดได้มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีกู้ยืมเงินที่นายชัยรัชต์พงษ์เป็นโจทก์ และ น.ส.รักษยาเป็นจำเลยแล้ว
โดยรายละเอียดของคำพิพากษามีดังนี้
คดีนี้โจทก์ฟ้องร้องที่ศาลแพ่ง จ.ร้อยเอ็ดเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2564 ระบุว่าเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2562 จําเลยได้ทําสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์เป็นเงิน จํานวน 28,510,990 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตกลงจะชําระเงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ยภายในวันที่ 16 กันยายน 2562 และในวันทําสัญญากู้ยืมเงินจําเลยได้รับเงินไปจากโจทก์ ครบถ้วนแล้ว ปรากฏตามสําเนาสัญญากู้ยืมเงิน เอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 1
ข้อ 2. เมื่อครบกําหนดชําระเงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ยวันที่ 16 กันยายน 2562 จําเลยได้ผิดสัญญากู้ยืมเงินไม่ชําระเงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามที่ได้ตกลงไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์ ทวงถามจําเลยแล้วก็เพิกเฉย
ข้อ 3. การกระทําของจําเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญากู้ยืมเงินและทําให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ซึ่งภายหลังจากทําสัญญากู้ยืมเงินแล้ว จําเลยได้ชําระเงินต้นคืนให้แก่โจทก์หลายครั้งโดยครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2562 รวมเป็นเงินจํานวน 12,545,050 บาท ยังค้างชําระเงินต้นคืนโจทก์อีกจํานวน 16,065,940 บาท ขอให้บังคับจําเลยชําระเงินต้นคืนแก่โจทก์จํานวน 16,065,940 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2562 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน คิดเป็นเงินดอกเบี้ยจํานวน 1,707,005 บาท รวมเป็นเงินจํานวน 17,772,945 บาท และให้จําเลยชําระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจํานวน 16,065,750 บาท นับแต่วันถัด จากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จสิ้น แก่โจทก์
ศาลพิพากษาเห็นว่าที่พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความยืนยันว่าในวันทําสัญญากู้ยืมเงิน จําเลยรับเงินตามสัญญากู้ยืม เงินไปครบถ้วนแล้ว ส่วนพยานโจทก์ปากนายถาวร ลุนพันธ์ ซึ่งลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงินทั่วไปตาม เอกสารหมาย จ.4 ตอบคําถามค้านและถามติงว่า ในวันทําสัญญาเห็นจําเลยถือกล่องสามกล่องออกไป ภายใน กล่องจะมีเงินหรือไม่เท่าไหร่ไม่ทราบ ในข้อนี้แม้นายถาวรจะเบิกความทํานองว่าเห็นกล่องใส่เงินในวันทําสัญญาก็ตาม
แต่นายถาวรก็ไม่ได้ยืนยันว่ากล่องดังกล่าวเป็นกล่องใส่เงินที่กู้กัน และนายถาวรเบิกความต่อไปว่านายถาวร ไม่เกี่ยวข้องกับกล่องทั้งสาม คําเบิกความนายถาวรเห็นได้ว่าขัดแย้งกับคําเบิกความของนายสมชาย นีละวงศ์ (พยานฝ่ายจำเลย) ซึ่งลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเช่นกันว่า ในขณะลงลายมือชื่อเป็นพยานนั้นพยานไม่เห็นกล่องใส่เงินและไม่เห็นการส่งมอบเงินสดให้แก่กัน
ซึ่งสําหรับนายถาวรนั้นแม้เบิกความในฐานะเป็นพยานแต่ตามพฤติการณ์ นายถาวรรู้จักกับโจทก์และภริยาโจทก์มานานทั้งยังรับจ้างโจทก์ในการตรวจหรือทําบัญชีให้แก่โจทก์ด้วยจึงถือว่า พยานปากนายถาวรเป็นพยานที่มีความใกล้ชิดกับโจทก์ทั้งในฐานะคนรู้จักและในฐานะผู้ว่าจ้างด้วย อีกทั้งนาย ถาวรเบิกความเกี่ยวกับการรับเงินที่กู้ยืมที่มีลักษณะกลับไปกลับมาไม่หนักแน่นทั้งที่หากพยานเห็นเหตุการณ์ ดังกล่าวจริงย่อมต้องเบิกความได้อย่างแม่นยําและหนักแน่นได้ ฉะนั้นคําเบิกความของนายถาวรจึงต้องรับฟัง ด้วยความระมัดระวัง ส่วนนายสมชายแม้จะเป็นพยานฝ่ายจําเลยแต่พยานปากนี้ไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใดเป็นพิเศษ เบิกความในฐานะที่เป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงินโดยเบิกความอย่างตรงไปตรงมามิได้ส่อพิรุธว่าจะเบิกความเพื่อ ช่วยเหลือจําเลยโดยไร้เหตุผล มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่านายถาวร
ส่วนที่โจทก์อ้างว่าเงินที่มอบให้แก่จําเลย โจทก์ถอนเงินออกมาจากบัญชีกระแสรายวันเก็บไว้เพื่อ ซื้อที่ดินนั้นเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานสนับสนุนใด ๆ ทั้งพิจารณาการ เบิกถอนเงินของโจทก์เป็นการถอนออกมาหลายครั้งหลายคราว และเว้นระยะแต่ละครั้งห่างกันนานพอสมควรซึ่ง หากโจทก์ต้องการซื้อที่ดินจริงโจทก์ย่อมทราบราคาที่ดินที่จะซื้อจากผู้ขายได้ว่ามีราคาเท่าใด การถอนเงินออกมา ชําระค่าที่ดินจึงน่าจะต้องถอนมาในคราวเดียว ทั้งหากยังไม่มีการตกลงกับผู้ขายแล้วโจทก์ก็ไม่จําเป็นต้องถอนเงิน ออกมาก่อนให้ต้องมีภาระการชําระดอกเบี้ยเดือนละหลายแสนบาทโดยไม่จําเป็น ข้ออ้างดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อถือ
ส่วนที่โจทก์อ้างว่าเงินดังกล่าวเอามาให้จําเลยแล้วนั้นเห็นได้ว่าตามสัญญากู้ยืมเงินโจทก์เรียกดอกเบี้ย จากจําเลยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เท่านั้น แต่หากโจทก์ถอนเงินดังกล่าวมาจากบัญชีกระแสรายวันตามที่โจทก์ อ้างเพื่อให้จําเลยกู้ยืมโดยโจทก์ได้ดอกเบี้ยเพียงอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่โจทก์กลับต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ธนาคาร ที่สูงกว่าดอกเบี้ยที่โจทก์จะได้รับจากจําเลยข้อกล่าวอ้างของโจทก์ในข้อนี้จึงไม่สมเหตุสมผลและไม่น่าเชื่อถือ
นอกจากนั้นจําเลยมีบันทึกการสนทนาทางแอพพลิเคชั่น LINE ระหว่างโจทก์กับภริยาโจทก์กับจําเลย ซึ่งข้อความการสนทนาโดยรวมทั้งหมดประกอบภาพถ่ายที่ส่งให้แก่กันพิจารณาแล้วล้วน เป็นการสนทนากันเกี่ยวกับงานก่อสร้างโครงการถนนโดยใช้น้ำยางพาราผสมสารเพิ่มของกรมส่งเสริมการปกครอง ท้องถิ่น โดยเฉพาะในวันที่ 14 สิงหาคม 2562 ภริยาโจทก์แจ้งให้จําเลยเอาเช็คมาเคลียร์ด้วย
โดยส่งภาพถ่าย โครงการงานที่จําเลยจะได้รับไปด้วย ซึ่งต่อมาในวันที่ 21 และ 22 สิงหาคม 2562 ก็ยังมีการส่งภาพถ่ายเช็คซึ่ง จํานวนเงินเท่ากับสัญญากู้เงินโดยมีข้อความแจ้งว่า ทางกรมให้แก้ไขให้ด้วย สายทางไม่ตรงใบหาผู้รับจ้างกะใบงวด ไม่ตรงกัน และข้อความด้านล่างว่า เขตเธอ 15 ส.ค.นะ ผอถาวรแจ้งมา
เห็นได้ว่าการสนทนาทั้งเรื่องจํานวนเงินและข้อความอื่นล้วนฟังได้ว่าเป็นการคุยกันเรื่องที่จําเลยจะได้เข้าเป็นคู่สัญญารับงานที่ใดบ้าง และจําเลยต้องจ่ายค่าตอบแทนล่วงหน้าแลกกับงานที่จะได้แก่ผู้เกี่ยวข้องใครบ้างและเท่าไหร่อันเป็นค่าตอบแทนที่มิชอบด้วยกฎหมายไม่มีข้อความใดชี้ให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าเป็นการเจรจาเรื่อง การกู้ยืมเงินของจําเลยแต่อย่างใด
นอกจากนั้นภาพถ่ายใบบันทึกการโอนเงินจําเลยบันทึกช่วยจําว่า ค่างานตามสัญญาลงวันที่ 15 สิงหาคม 2562 ซึ่งตรงกับข้อความที่ภริยาโจทก์แจ้งจําเลย ทางแอพพลิเคชั่น LINE วันที่ 22 สิงหาคม 2562 ซึ่ง ในข้อนี้โจทก์ก็มิได้ปฏิเสธว่าการสนทนาในแอพพลิเคชั่น LINE นั้นไม่ถูกต้อง เพียงแต่อ้างว่าข้อความไม่ครบถ้วน ซึ่งหากข้อความไม่ครบถ้วนอย่างไรโจทก์ย่อมนํามาสืบหักล้างได้ไม่ยาก เนื่องจากข้อความการเจรจาทั้งหมดย่อมมี อยู่ในแชทการสนทนาในเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ของโจทก์หรือของภริยาโจทก์ด้วย แต่โจทก์หาได้นําสืบหักล้างเป็น อย่างอื่น
การที่โจทก์อ้างว่าการชําระเงินดังกล่าวไปเป็นการชําระเงินกู้จึงไม่น่าเชื่อถือ เมื่อพยานหลักฐาน ที่โจทก์นําสืบมาล้วนมีน้ำหนักน้อยและพยานหลักฐานของจําเลยที่นําสืบมีน้ำหนักมากกว่า ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ ตามพยานหลักฐานของจําเลยว่า จําเลยทําสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.4 และการออกเช็คในวันทําสัญญา แก่โจทก์เชื่อว่ากระทําไปเพื่อเป็นหลักประกันเงินค่าตอบแทนล่วงหน้าที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ตอบแทนจากการที่ จําเลยจะได้เข้าเป็นคู่สัญญาในโครงการของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นแต่ละโครงการ โดยไม่ชอบด้วย กฎหมาย และทําไปเพื่อป้องกันไว้หากจําเลยได้เข้าเป็นคู่สัญญากับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นแล้วไม่จ่าย ค่าตอบแทนตามที่ตกลงกันเท่านั้น การทําสัญญากู้ยืมเงินและเช็คดังกล่าวโจทก์จําเลยไม่มีเจตนาผูกพันกันจริงและ ไม่มีการจ่ายเงินตามสัญญากู้ยืมให้แก่จําเลย และเมื่อสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวโจทก์จําเลยทําไว้เพื่ออําพรางเงิน ค่าตอบแทนที่ได้งานจากโครงการของรัฐโดยมิชอบด้วยกฎหมาย นิติกรรมการกู้เงินและการสั่งจ่ายเช็คระหว่าง โจทก์จําเลย ดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 กรณีไม่จําต้อง วินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดีให้เป็นพับ
ด้าน น.ส.รักษยาให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราเพิ่มเติมว่าผลของคำตัดสินคดีแพ่งดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นความคืบหน้าอย่างยิ่งต่อกรณีการสืบสวนการเรียกรับเงินเพื่อแลกกับการได้สัญญา ซึ่งนับตั้งแต่ที่มีคำพิพากษาของศาลแพ่งออกมา ตนได้ส่งคำพิพากษาโดยย่อไปให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไปแล้ว และทาง ป.ป.ช.ก็ได้ระบุว่าถ้าหากได้คำพิพากษาฉบับเต็มเมื่อไรก็ให้ส่งมาอีกทีหนึ่ง
อ่านเรื่องในหมวดเดียวกัน :
- เปิดตัวสู้! สามี ปลัด อบต. แจ้งความ 'ผู้รับเหมา' แพร่ข้อมูลเท็จปมเรียกเงินถนนยางฯ
- หิ้วเงินสดๆ ไปจ่าย! แฉ ปลัด อบต. เรียก 60 ล. แลกสร้างถนนยางฯ - อ้างให้ 'อธิบดี' ด้วย
- (คลิป) ชัดๆ 'แฉ' ขบวนการทุจริตถนนยางฯ จ่ายค่าขนม ปลัดอบต. 60 ล.-อ้างให้ 'อธิบดี' ด้วย
- แชทไลน์ทวงค่าขนม-เช็คโรงรับจำนำ 39 ล.! เปิดหลักฐานคดีทุจริตถนนยางฯ เหตุเกิด 'อำนาจเจริญ'
- จากนักธุรกิจเพชรสู่รับเหมาฯ! ฉากชีวิต‘ปู รักษยา’ถึงจุด‘เบรกแตก’ชนขบวนการทุจริตถนนยาง?
- ฟางเส้นสุดท้าย! ไข 3 ปัจจัย ทำไม 'ผู้รับเหมา' ดับเครื่องชน 'แฉ' ขบวนการทุจริตถนนยางฯ
- เปิดโพยลับ ถนนยางฯ 55 โครงการ 394 ล. จ่ายเท่าไร? ก่อน ผู้รับเหมา แฉได้งานครึ่งเดียว
- 'อนุพงษ์' ลั่นใครทุจริตจัดการตามกม.! โชว์คำสั่ง มท.สอบคดีผู้รับเหมาแฉถนนยางฯ
- ให้ปากคำ 4 ชม.! ผู้รับเหมา งัดหลักฐานแชทไลน์-รูป โยง 'อธิบดีปริศนา' คดีถนนยางฯ
ประเด็นเรื่องการผูกขาด
- รวมรายได้ล่าสุด 1,013 ล้าน! ข้อมูล 3 เอกชนกลุ่มเดียวกัน ขายสารทำถนนยางรบ.'บิ๊กตู่'
- 'กก.-ผู้ถือหุ้น' กลุ่มเดียวกัน! เปิดข้อมูล3 บ.ขายน้ำยางทำถนนพาราฯ -กยท.ยันไม่มีล็อคสเปค
- เปิดแผนงานกองทัพ ใช้งบ 2.5 พันล. ทำถนนยางพารา-ให้กยท.ประมูลก่อนขายต่อ อปท.
- เจาะคำสั่งเกษตรฯ ตั้งคกก.รับรองสารผสมถนนยาง-ก่อนเจอปม3 บ.'กก.-ผู้ถือหุ้น' กลุ่มเดียวกัน
- 'สุทิน'แจงรูปแบบฮั้วซื้อน้ำยางทำถนนบิ๊กตู่หมื่นล.- ชี้เป้า กยท. เจาะจงรับรอง 3 บริษัท
- ส่องกูเกิลดูที่ตั้ง 3 บ.ขายสารผสมถนนยาง! พนง.แจงเครือเดียวกัน มีสิทธิ์ขอยื่นรับรองคุณภาพ
- เปิดตัวผู้บริหาร3บ.ขายน้ำยางทำถนนบิ๊กตู่หมื่นล.-ไขข้อมูล 'สุทิน' ใครกันแน่เสียผลปย.?
- รมว.เกษตรฯ สั่ง-กยท.ประกาศทันที! แพร่ชื่อ 2 บ.ขายน้ำยางทำถ.พาราใหม่ อยู่สุพรรณ-ชลบุรี
- ท้า'สุทิน'ฟ้องหากพบปมฮั้ว! 'เฉลิมชัย' การันตีบ.สารผสมยางไร้ปัญหา แต่ให้เพิ่มอีก10 แห่ง
- ตามไปดู หจก.ตัวแทนขายสารผสมยางร้อยล้าน! ร่วมใช้ที่อยู่เดียวบ.อื่นย่านบางเขน
- หารือ 'บิ๊กตู่'สั่งทบทวน23 ส.ค.นี้! กยท.ปัดไม่มีหน้าที่ตรวจบ.ขายสารผสมยางกลุ่มเดียวกัน
- ใช้บ้านคนรู้จักรับพัสดุ-ตัวจริงอยู่อำนาจเจริญ! เผยโฉม บ.ตัวแทนขายสารผสมถนนยางร้อยล.
- โชว์คลิปตรวจ 2 บ.ตัวแทนขายสารผสมถ.ยาง'บิ๊กตู่' ไขปมตั้งปีเดียว โกยงานกองทัพ-กรมชล258ล.?
- ‘บิ๊กตู่’สั่ง กยท. ทบทวน 3 เอกชนผลิตสารผสมน้ำยาง ลั่นถ้าเจอทุจริตต้องหาคนผิด
- เบ็ดเสร็จ17 สัญญา! 'อิศรา' สอบพบ บ.กลุ่มตัวแทนสารผสมถนนยาง แข่งงานกรมชลฯ พร้อมกัน
- สาวลึก! กรมชลฯ ซอย 17 ส. ซื้อน้ำยาง บ.ตัวแทนสารผสม - สุ่มตรวจเจอกลุ่มเดียวกันแข่งงานด้วย
- ประกาศกรมชลฯ หราห้ามมีผลปย.ร่วมกัน! หลักฐานมัด บ.ตัวแทนแข่ง e-bidding ขายสารผสมถนนยางฯ
- โจทย์ใหญ่ปัญหาผูกขาด! เปิดแผนประเมินความเสี่ยงถนนยาง ก่อน มท.ดันโครงการ ‘1หมู่บ้าน1กม.’
- กำนันบ่อสุพรรณเจ้าของ! เปิดตัว บ.ซีโก้ฯ ผู้ขายสารผสมรายใหม่-คู่ค้า 'กยท.' ทำถนนยางมะตอย
- เจาะ บ.ไทยอีสเทิร์นฯ 1 ใน 2 ผู้ขายสารผสมยางรายใหม่ แจ้งรายได้ 424 ล. กำไร 43.7 ล.
- ใครเป็นใคร! สำรวจข้อมูล 5 บ. รอผล ก.เกษตรฯ รับรองมาตรฐานน้ำยางทำถนนบิ๊กตู่หมื่นล.
- เช็คชื่อ 11 บ.ผ่านรับรองคุณภาพขายสารผสมถนนยาง 'บิ๊กตู่' - คู่กรณีกยท.ได้ด้วย 2 แห่ง
- แห่งที่ 12 ! บ.ขายสารผสมถนนยาง รบ. 'บิ๊กตู่' - เพิ่งจดทะเบียนตั้ง ต.ค.62
- บ.ขายสารถนนยางรบ.'บิ๊กตู่' แห่งที่13 อยู่เชียงราย-แจ้งงบการเงินไม่มีรายได้ ขาดทุน 4.5 พัน