‘หมออุดม’ ชี้ โควิด ยังไม่ใช่โรคประจำถิ่น มีคนป่วย 3-4 หมื่นต่อวัน เชื่อยังต้องอยู่กับโรคอีกไม่ต่ำกว่า 1 ปี ขอประชาชนดูแลตัวเอง พร้อมยืนยันหลัง 1 ต.ค.ยุบ ศบค.ไม่เกิดสูญญากาศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2565 นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) เปิดเผยก่อนการประชุม ศบค.ว่า ขณะนี้ยังมีผู้ติดเชื้อที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 800-1,000 คน ส่วนผู้ที่มีผลตรวจ ATK เป็นบวกอยู่ที่ 13,000 – 14,000 รายต่อวัน คาดว่ามีผู้ป่วยที่ไม่ได้เข้าระบบอีก 2-3 เท่า โดยรวมจึงมีผู้ติดเชื้อ 30,000 – 40,000 รายต่อวัน ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง เป็นเหตุผลที่ทำให้เราเปลี่ยนผ่านจากโรคติดต่อร้ายแรงเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง แต่ยังไม่ถึงขั้นโรคประจำถิ่น ซึ่งต้องมีผู้ป่วยน้อยกว่านี้
นพ.อุดม กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามการเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง จะทำให้ทุกอย่างผ่อนคลายเกือบหมด แต่ประชาชนยังต้องดูแลตัวเอง เพราะยังมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 0.1% ซึ่งเราไม่อยากให้มีใครเสียชีวิต ต้องทำให้อัตราการเสียชีวิตน้อยลงกว่านี้ ทั้งนี้เชื่อว่าโควิดจะอยู่กับเราอีกไม่ต่ำกว่า 1 ปี ถึงจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นประชาชนจึงต้องดูแลตัวเอง ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ประเมินความเสี่ยงตนเอง สามารถถอดหน้ากากได้หากอยู่ในที่โล่ง
“ขอย้ำว่าการสวมหน้ากากมีความจำเป็น โควิดยังไม่ได้เป็นโรคประจำถิ่น ยังไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับไข้หวัด เพียงแต่เศรษฐกิจต้องเดินไป นอกจากนี้วัคซีนยังมีความจำเป็น ลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตรวมทั้งหากฉีดเข็มกระตุ้นสามารถป้องกันลองโควิดได้ แต่ตอนนี้การฉีดเข็มกระตุ้นยังถือว่าต่ำ จึงขอให้เข้ารับการฉีดอย่างน้อยให้ได้ 70%” นพ.อุดม กล่าว
นพ.อุดม กล่าวด้วยว่า การระบาดระลอกใหม่ไม่ใช่เรื่องที่เรากังวล เพราะเรียนรู้จากโควิดมา 3 ปีมีระบบที่รองรับได้ แต่หลังจากวันที่ 1 ต.ค.ไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ ศบค.หมดไป การประชุมครั้งนี้จึงจะคุยกันว่าจะมอบหมายให้กระทรวงต่างๆยังทำงานร่วมกันโดยใช้มติ ครม.ไปพลางก่อน และระยะยาวเราได้แก้ไข พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ที่มีโครงสร้างบางส่วนคล้าย ศบค. แต่ขณะนี้ยังไม่ได้เข้าสภา ที่ผ่านมาเคยเสนอนายกรัฐมนตรีออก พ.ร.ก.แก้ไข พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ เพื่อใช้ไปก่อน ยืนยันหลังวันที่ 1 ต.ค. จะไม่เกิดสูญญากาศ กระทรวงต่างๆยังทำหน้าที่ การทำงานจะไม่มีปัญหา แต่อาจไม่เข้มข้นเหมือนตอนมี ศบค.