ศาลฎีกา พิพากษายืนโทษ 'ราเกซ สักเสนา' 335 ปี แต่ลงโทษจริงได้ 20 ปี ปรับ 33 ล้าน ชดใช้เงินอ่วมอีกกว่า 2.5 พันล้าน ชี้ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ให้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2565 ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีที่พนักงานอัยการ โจทก์ ยื่นฟ้องนายราเกซ สักเสนา (Rakesy Saxena) จำเลย ความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 รวม 3 สำนวน โดยศาลฎีกา เห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลล่างพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดนั้นชอบแล้ว ยืนโทษจำคุก 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) และต้องชดใช้เงินอีกกว่า 2.5 พันล้านบาท
โดยคดีเกิดขึ้นระหว่างปี 2537-2539 จำเลยซึ่งเป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี กับพวก ให้การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซี ซึ่งร่วมกันโดยทุจริตใช้บัตรอนุมัติให้สินเชื่อเกินบัญชีเกินกว่า 30 ล้านบาท กับเอกชนได้แก่ บริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และเอกชนอื่นร่วม 10 แห่ง โดยการอนุมัติดังกล่าวไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อหรือคณะกรรมการบริหารของธนาคารก่อน และได้อนุมัติโดยผู้ขอสินเชื่อ ไม่ได้จัดให้มีหลักประกันตลอดจนไม่มีการวิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้และความสามารถในการชำระหนี้คืน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย และจำเลยกับพวกยังได้ร่วมกันแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกันเบียดบังเอาเงินของธนาคารผู้เสียหายซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายเกริกเกียรติไปเป็นของจำเลยกับพวกและนายเกริกเกียรติโดยทุจริต ซึ่งภายหลังการกระทำความผิด จำเลยกับพวกดังกล่าวได้ชดใช้เงินให้แก่ธนาคารผู้เสียหายบางส่วนโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 722,136,005.03 บาท และจำนวน 1,427,195,799.92 บาท กับจำนวน 353,363,966 บาท แก่ธนาคารผู้เสียหายด้วย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 307, 308, 311 ประกอบมาตรา 315 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83ให้ลงโทษ ฐานช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่กรรมการเบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนหรือของบุคคลที่สามโดยทุจริต การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง ความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 500,000 บาท ในสำนวนแรก 60 กระทง ในสำนวนที่สอง 6 กระทง ในสำนวนที่สาม 1 กระทง รวม 67 กระทง เป็นจำคุก 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) และปรับ 33,500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,29/1, 30 และให้จำเลยร่วมกันคืนโดยใช้เงิน ในสำนวนคดีแรกจำนวน 722,136,005.03 บาท ในสำนวนที่สองจำนวน 1,427,195,799.92 บาท และในสำนวนที่สามจำนวน 353,363,966 บาท แก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยต่อจากโทษคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 1817/2555ของศาลชั้นต้น
จําเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ต่อมาจำเลยได้ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษา ก่อนที่คำพิพากษาชั้นฎีกา เห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลล่างพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน โดยศาลได้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดตามผลคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าว