‘สุทิน คลังแสง’ ปิดงานอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบสุดท้าย อัด ‘ประยุทธ์’ เป็นปฏิปักษ์ประชาธิปไตย สะท้อนผ่านการบริหารเศรษฐกิจตกต่ำ-ทุจริต-ต่างประเทศไม่ยอมรับ-บิดเบือนหลักการสภา ขอลงจากอำนาจเพราะบันไดทองมารอแล้ว อย่าอยู่ต่อ ประชาชนตายรายวัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 กรณีสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รวม 11 คน ตามที่ ส.ส.ฝ่ายค้านเสนอ ภายใต้ยุทธการณ์ ‘เด็ดหัว สอยนั่งร้าน’ โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 ก.ค.2565 ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการอภิปราย
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน สรุปการอภิปรายว่า ทั้ง 11 รายที่ได้อภิปราย มีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่พอผ่าน นอกนั้น ยังชี้แจงได้ไม่เคลียร์และตรงจุด
อัดบริหารเศรษฐกิจตกต่ำ
กล่าวสำหรับการอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยสรุป ปัญหาการบริหารเศรษฐกิจ ต้องยอมรับว่า ได้เตือนไปก่อนหน้านี้แล้วว่า การบริหารจัดการวิกฤติเชื้อไวรัสโควิด-19 จะคุมแต่โรคอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูแลปัญหาเศรษฐกิจด้วย ซึ่งสุดท้ายนายกฯก็ไม่ได้ฟังและนำไปทำตาม จนสุดท้ายเศรษฐกิจประเทสไทยเติบโตช้าที่สุดในภูมิภาค และการอ้างว่าอัตราการเติบโตจะถึง 3.3% ก็ยังไม่เท่าช่วงก่อนโควิด ผิดกับหลายประเทศทั่วโลกที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจแซงหน้าไปไกลแล้ว และเติบโตเท่าช่วงก่อนโควิดแล้ว
ส่วนการลงทุนที่บอกโตขึ้น 2% เป็น 2% ที่ขึ้นจากจุดต่ำสุด เป็นการโงกหัวจากก้นเหวยังสาหัสอยู่ ใครทำมาหากินได้ก็ทำ ส่วนการชำระเงินกู้ที่อ้างว่าทำได้มากที่สุด ก็ต้องใช่ เพราะอยู่มานาน 8 ปี และไม่ใช่เพาะสมัครใจจะใช้หนี้ แต่เพราะมีกฎหมายบังคับให้ต้องจ่ายหนี้ ตอนนี้ประเทศไทยกู้ทุกปี ใช้หนี้ แล้วเอาหนี้ที่จ่ายมาใช้ และที่อ้างว่าอัตราเงินเฟ้อไม่สูง อย่าเทียบกับประเทศอื่นทุกอย่าง ดูฐานประเทศตัวเองด้วย ส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ที่อ้างว่าดีกว่าหลายประเทศ ต้องเทียบกับประเทศที่มีฐานภาษีเท่ากัน นี่คิดผิดหมดเลย
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของจริง ที่คนไทยไม่ให้อภัยท่านนายกฯ เพราะค่าครองชีพสูงขึ้นทุกอย่าง อย่าเชื่อตัวเลขต่างๆมาก ให้ลงไปดูชาวบ้านจริงๆดีกว่า ประเทศเรามีความเหลื่อมล้ำสูงมาก จะได้เห็นภาพความเป็นจริง ชาวบ้านหนี้ท่วมหัว ไม่มีจะกิน ชาวไร่ชาวนาหนีหมด เพราะหนี้นอกระบบ ที่อ้างว่าแก้หนี้อย่างนั้นอย่างนี้เป็นเรื่องขี้ปะติ๋วเลย ถ้ารายได้สูงจริง ชาวบ้านไม่เป็นแบบนี้
วันนี้ราคาสินค้าแพงมาก โดยเฉพาะราคาน้ำมัน รัฐบาลจะเก็บค่าไฟฟ้า ค่าแก๊สหุงต้มเพิ่มอีก แถมต้นทุนปัจจัยการผลิตต่างๆก็กำลังจะขึ้นราคาด้วย และที่เจ็บใจที่สุด ค่าไฟฟ้าใช้ทุกครัวเรือน ตอนที่ไม่ลำบากเคยมีมาตรการให้คนจนใช้ฟรี แต่รัฐบาลนี้เพิ่มค่าไฟฟ้า พอเพิ่ม ทุกอย่างไปหมด ราคาสินค้าขึ้นยกแผง ถามว่า ทำไมราคาไฟฟ้าขึ้นราคา ก็เพราะต้องมีค่าชดเชยให้โรงไฟฟ้า ยังไม่นับรวมปัญหาอื่นๆอีก ทั้งเศรษฐกิจดิจิทัล และการขยับเปลี่ยนใช้รถยนต์ EV
นอกจากความล้มเหลวทางเศรษฐกิจแล้ว การสร้างขีดความสามารถของประเทศในการแข่งขันก็ตกต่ำทั้งการศึกษาที่ล้มเหลว ยาเสพติดเต็มเมือง จะมีกัญชามามอมเมาอีก ถ้าปล่อยแบบนี้ลูกหลานจะไปสู้ใครได้ เรื่อง Soft Power รัฐบาลยังมะงุมะงาหรา
ทุจริตเพื่อนพวกพ้อง
และที่สำคัญ ยังมีอารมณ์ทุจริตเพื่อพวกพ้อง การทุจริตเชิงนโยบายที่รัฐบาลนี้เคยต่อว่ารัฐบาลก่อนๆไว้ ก็ทำเองแบบเจ็บแสบที่สุด ลองไปดูทุนใหญ่ที่ใกล้ชิดรัฐบาล ทรัพย์สินจาก 300,000 ล้านบาท เป็น 900,000 ล้านบาท เช่น กรณีโรงไฟฟ้าข้างต้น ผู้รับผิดชอบคือทุนใหญ่ จากเศรษฐีไม่มีอันดับขึ้นมาอยู่แนวหน้า รัฐบาลนี้เคยประกาศนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชน โดยเฉลี่ยจะมี 1 โรงไฟฟ้า/ 2 ตำบลทั่วภูมิภาค ถ้าเกิดจริงจะดี เพราะเป็นของชาวบ้าน แบ่งจากทุนใหญ่มาบ้าง เกิดการกระจายรายได้และเศรษฐกิจชุมชนจะหมุน ซึ่งรัฐบาลหลอกและไม่ทำ แล้วจะทำเฉพาะโรงไฟฟ้าขนาดกลางและขนาดใหญ่โดยเอาโรงไฟฟ้าชุมชนเป็นฉากบังหน้า ซึ่งไม่เคยอนุมัติเลยแม้แต่โรงเดียว
ส่วนการทุจริตให้พวกพ้อง ก็มีกรณีอนุมัติงบจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เอื้อให้คยใกล้ชิด 2,000 ล้านบาท, กรณีบรรจุนายตำรวจนามสกุลอัตถาวงศ์ 2 นาย ซึ่งมีนามสกุลคล้ายนายเสกสกล อัตถาวงศ์ คนใกล้ชิดนายกฯ, กรณีกองบินตำรวจ (บ.ตร.) ใช้งบกลาง 900 กว่าล้านบาท, กรณ๊กองทัพซื้ออาวุธ เช่น เรือดำน้ำ โดรน เครื่องบินรบ
นอกจากนั้น ยังมีกรณีละเมิดกฎหมายและจริยธรรม อาทิ กรณีละเมิดกฎของสหประชาชาติ (UN) ว่าด้วยเรื่องกัญชา อาจเจอมาตรการแซงชั่นจากต่างประเทศ, กรณีคลองด่าน ที่ต้องไปตามเอาเงินจากเอกชนในโครงการนี้กลับมา แต่ไม่เอากลับมา เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่, กรณีเหมืองทองอัครา
ต่างประเทศไม่ยอมรับ
นายสุทินกล่าวอีกว่า กับประเด็นการต่างประเทศ โดยเฉพาะการให้เมียนมาร์ล้ำน่านฟ้า ซึ่งนายกฯ ชี้แจงว่าเพื่อนบ้านล้ำเข้ามาจะยิงกันเลยหรือย่างไร จึงมีคำถาม 3 ข้อคือ 1. ทำไมนายกรัฐมนตรียอมให้เข้ามา ซึ่งได้รับการชี้แจงว่าไม่ได้อนุญาตให้เข้ามา 2. สมรรถนะของกองทัพบก ถ้าไม่ยอมทำไมปล่อยให้เข้ามา และ 3. เปิดโอกาสให้เข้ามาจัดการผู้อพยพหรือไม่ ถ้าเป็นแบบนี้ ชาวโลกจะลงโทษแน่นอน ไม่มีสิทธิมนุษยชน คนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ให้เข้ามาปราบ นายกฯ จะเป็นคนบาป กรรมตกกับประเทศ
แต่ที่เจ็บปวดคือการอ้างว่า เมียนมาร์ขอโทษแล้วไม่ต้องเอาเรื่อง อธิปไตยของประเทศทำไมราคาถูก แค่คำขอโทษเองหรือ เป็นประชาธิปไตยราคาถูก และที่ถูกโลกไม่ยอมรับ จะมีผลกระทบกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเรื่อยๆ สรุปคืแ การต่างประเทศไมบวกเลย มีแต่ทำให้ขายหน้า
เป็นปฏิปักษ์ประชาธิปไตย
สุดท้าย ความล้มเหลวของนายกฯ คือ การสร้างระบบประชาธิปไตยให้ประเทศไม่ได้ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ เป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย เคยคิดว่านิสัยจะเปลี่ยนและสำนึกว่า การไม่มีต้นทุนประชาธิปไตย ยึดอำนาจเข้ามา มันแก้ปัญหายาก ก็คิดว่าจะเปลี่ยน การปฏิวัติในปี 2557 เอาคืนมาไม่ได้ วันนี้ ยังมีเวลาสร้างระบบการเมืองที่ดีให้ประเทศ แต่นายกฯ ไม่เคยเปลี่ยน วันแรกที่เข้ามาบอกไม่สนใจจะเป็นนักการเมือง รังเกียจการเมือง ไม่สนใจอำนาจ สุดท้ายโกหกเรื่อยๆ มีการบิดเบือนกติกาจนได้สืบทอดอำนาจถึงวันนี้
เมื่อคิดว่า ได้สืบทอดอำนาจก็น่าจะพอแล้ว ก็ไม่อีก ยังเดินหน้าทำลายระบบรัฐสภาต่อเนื่อง วันนี้เรื่องแจกกล้วยว่อนไปทั่ว ทำให้รัฐสภาเดินไปไหนก็อับอาย ระบบทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เสื่อมลงเพราะพล.อ.ประยุทธ์ ทำลาย
“วันแรกๆที่เข้ามาเสียงยังน้อย แต่ทั้งยุบทั้งกล้วยอะไรมาคนก็ไปอยู่ฝั่งนู้นหมด ก็คิดว่า 8 ปีน่าจะหยุดแล้ว ไปๆมาๆการแก้รัฐธรรมนูญและการจัดทำกฎหมายลูก จากหาร 100 ก็จะกลายเป็น 500 ระบบรัฐธรรมนูญมาทำเป็นเล่น ระบบเลือกตั้งมาทำเป็นเล่น มาทำเพื่อเอาชนะทางการเมือง แล้วใช่ว่าการชนะจะยอมรับกันเพราะมันจะไม่จบ ถ้าทำให้กฎหมายของประเทศไม่ได้ยอมรับจากทุกฝ่ายก็ไม่มีทางจบชัยชนะที่ได้มาก็เป็นชัยชนะที่ไม่ยอมรับกันมันจะเป็นอย่างนี้อยู่ร่ำไป” นายสุทินระบุ
อีกท่าทีที่ท้าทายและเยาะเย้ยฝั่งหนึ่ง เอาอะไรมาท้า โพลกี่สำนักก็ไม่เอา ประชาชนก็ไม่เอา ยังมีดีอะไรอีก ก็มาเจอเหตุผลจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ว่านายกฯ คือคนที่ทำปฏิวัติ แล้วไม่รู้สึกอะไร แต่ยิ้มร่าเลย นี่เป็นสิ่งอันตราย ถือว่าท่านเป็นปฏิปักษ์กับระบบประชาธิปไตย แล้วจะทำอะไรอีกเพื่ออยู่ต่อ ซึ่งมีท่าทีจะขออยู่ต่ออีก 2 ปี
“วันนี้นิสัยยังไม่เปลี่ยน เป้าหมายยังคงเดิมแล้วยังขออยู่ต่ออีก จะขออยู่ต่อก็อยู่ไม่ว่าอะไรก็ว่ากันตามตัวบทกฎหมายและกติกาบ้านเมือง ลงกันแบบแฟร์ๆ ถ้าท่านชนะท่านก็เป็น พวกผมแพ้ก็เป็นฝ่ายค้าน อย่าไปปบิดนู่นนี่นั่น มันจะไม่จบ ความทุกข์ของชาวบ้าน ซึ่งการบิดเบือนนี้ จะมีปัญหาอีกในเดือนสิงหาคม กับการอยากอยู่อยากเป็นต่อ ทำไมไม่อาศัยโอกาสนี้สร้างวีรกรรมที่ดีลงแบบสุภาพบุรุษบันไดทองเอามาให้แล้วก็ลงตามบันไดทอง เราอย่าไปอาศัยตัวช่วย ท่านอยู่วันนี้ชาวบ้านอยู่วันนึงก็ตายวันนึง ”
วอนลงจากตำแหน่ง-คนอยากเปลี่ยนโชเฟอร์
ในฐานะฝ่ายค้านรู้ดีว่า อภิปรายแทบตาม อย่างไรก็โหวตสู้ไม่ได้ แต่เป็นการทำหน้าที่เพื่อชาวบ้าน และสะท้อนเจตนารมย์ชาวบ้าน มีแต่คนบอกว่าให้มาไล่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เป็นไร ไม่ชนะก็ไม่หวัง แต่หวังว่า เราได้ธำรงระบอบประชาธิปไตยและระบบรัฐสภาให้เข้มแข็ง ชาวบ้านจะอุ่นใจว่า ถ้ายังมีรัฐสภา มีการเลือกตั้ง จะไปมั่วไปโกงไปหลอกชาวบ้านไม่ได้ เพราะชาวบ้านเอาจริงเอาจัง ตรวจสอบ นี่คือคุณค่าที่อยากให้เกิด และเป็นระบบตรวจสอบที่ทำให้เห็น
“นายกฯ เป็นโชเฟอร์พารถมาติดหล่ม ชาวบ้านช่วยเข็นจนหมดแรง โชเฟอร์จะเลี้ยวลงเหวเรื่อย ถึงจุดที่อยากเปลี่ยนโชเฟอร์แล้ว เพราะไม่ต้องทำให้ลงมาเข็นรถ วันนี้ลงมาเข็นมีแต่กระดูกซี่โครง วันนี้ชาวบ้านอยากเปลี่ยนโชเฟอร์ ถ้าขอเวลาอีก 2 ปี แล้วท่านจะไปเก่งอีกปีไหน แววของนักบริหารจะออกปีไหน มาตรฐานสากลอยู่แค่ 2 สมัยคือ 8 ปี การขออีกเพื่อทำ 3 แกน ทำไมแกนมันมาช้าจัง วันที่นายกจะแสดงความเก่งออกมาให้เห็นคือวันที่ชาวบ้านขาดใจตายหรือ เพราะฉะนั้น ก็ขอเพื่อนสมาชิกได้โปรดนำเอาความรู้สึกนึกคิดของฝ่ายค้านไปพิจารณา แล้วเอาความรู้สึกนึกคิดของชาวบ้านมาคิดด้วย ”